Saturday, February 06, 2010

Hawaii – day 5

Lu’au dinner

วันนี้โปรแกรมที่วางไว้คือไปกินอาหารสไตล์ฮาวายพร้อมโชว์ แต่กว่ามันจะเริ่มก็สี่โมงครึ่งแน่ะ อย่ากระนั้นเลยไปขับรถเที่ยวดีกว่า ตัดสินใจเลือกเส้นทาง North Kohala drive ขับไปทางเหนือของเกาะ

การขับรถบนเกาะไม่ยากเลย เพราะมีเส้นทางสายหลักไม่กี่เส้น ส่วนใหญ่ก็วนรอบเกาะ บ้านเรือนผู้คนก็อยู่กระจายเป็นหย่อม ๆ




พื้นที่เหนือสนามบินโคน่าเป็นต้นไป เป็นหินภูเขาไฟที่ไหลมาจากภูเขาไฟ Hualalai ที่ยังแอ็กทีฟอยู่ มีหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ เราแวะที่จุดชมวิวจุดหนึ่ง เห็นฝูงแพะป่ามาเดินอวดโฉมพอดี โชคดีจัง



ก่อนที่ทางหลวงสาย 19 จะหักเลี้ยวขวาสักสิบนาที มีทางเข้า Hapuna beach state park เป็นหาดที่ต้องแวะ เพราะมีหาดทรายขาวกว้าง เป็นที่นิยมมาพักผ่อนกัน



ใช้เวลาเล่นน้ำอยู่หาดนี้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง จึงเดินทางต่อไป แต่แวะทานอาหารร้านดังก่อนเปลี่ยนเส้นทางจากสาย 19 เป็นทางหลวง สาย 270 เพราะถนนสายหลักเป็นถนนเลียบชายฝั่งและอยู่เหนือระดับน้ำทะเล ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงาม



แม้เราจะขับรถ แต่ก็ยังเห็นปลาวาฬพ่นน้ำอยู่เป็นระยะ ๆ บางตัวก็กระโดดขึ้นมาเหนือน้ำล่อหูล่อตาดีนัก เสียแต่ว่าข้างทางไม่ค่อยมีที่จอดรถ ก็ได้แต่แอบเหล่ไปตลอดทาง

ตอนเกือบเหนือของเกาะ เป็นพื้นที่ปศุสัตว์ที่สำคัญ มีไร่ปศุสัตว์อยู่ให้เห็นเป็นระยะ ๆ ทั้งเลี้ยงม้าและวัว บางไร่มีรั้วขาวเรียงขนานไปกับถนน สวยน่าชม



เหนือขึ้นไปอีก หินเริ่มเป็นสีแดง มีหญ้าและต้นไม้ขนาดย่อมขี้นประปราย หนทางเริ่มชันขึ้น เป็นพื้นที่เขตภูเขาไฟ Kohala ภูเขาไฟลูกแรกที่ก่อให้เกิดเกาะฮาวายใหญ่นี้ ด้วยหินลาวาที่ไหลมาจากปล่องภูเขาไฟลูกนี้นั่นเอง แต่ขณะนี้ภูเขาไฟลูกนี้ถือว่าไม่แอ็กทีฟแล้ว



เกือบสุดทางหลวงสาย 270 หนทางเริ่มเป็นป่าดงดิบ เห็นใบพลูด่างยักษ์ห้อยตามต้นไม้สองข้างทาง อากาศเริ่มเย็นลง แต่สุดทางหลวงสาย 270 มีจุดชมวิวที่ทำให้ทุกคนตาลุกวาว เขาเรียกว่าหุบเขาโพโลลู (Pololu Valley Lookout)



หุบเขาสูงล้อมรอบด้วยน้ำทะเล หาดทรายเป็นสีดำสนิท ฟองคลื่นสีขาวซัดสาดเข้าฝั่งเป็นระยะ ๆ



จากจุดชมวิวบนเขา เราสามารถเดินลงไปชายหาดได้ ใช้เวลาเดินลงเขาประมาณสิบห้านาทีได้ แต่ทางชันมาก มีหินเต็มไปหมด ต้องระวังทุกผีก้าว



อันนี้ต้องบอกว่าไม่ทราบมาก่อน วันนั้นเราใส่แค่ร้องเท้าแตะคีบ ชุดบิกินี่ใต้เสื้อยืดคลุมตะโพก แต่เพราะอยากลงไปเดินมาก ก็เดินลงไปอย่างนั้นแหละ ค่อย ๆ เดิน ก็พอเดินได้



เมื่อมาถึงข้างล่าง มันก็คุ้มค่าเหนื่อย ใกล้หาดเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีนกน้ำหาปลา (Black-crowned night heron) อยู่แถวนั้น



หลายคนมาปิกนิก บ้างมาเล่นกระดานโต้คลื่น แต่ที่นี่ไม่มีน้ำจืดให้อาบ อาหารก็ต้องหามาเอง เป็นการปิกนิกท่ามกลางธรรมชาติจริง ๆ แต่เราใช้เวลาอยู่ที่นั่นไม่นานเพราะต้องออกไปทานดินเนอร์คืนนี้ก็เลยต้องรีบกลับ เสียดายจัง





สี่โมงครึ่ง เราแต่งตัวสวย ไปเช็กอิน เพื่อทานอาหารเย็นแบบฮาวายพร้อมโชว์อันตื่นตา สถานที่จัดงานคือโรงแรม King Kamehameha’s โรงแรมซึ่งเคยเป็นที่ตั้งวังของกษัติย์ฮาวายชื่อเดียวกัน ทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง





ก่อนดินเนอร์มีค็อกเทลให้เลือกดื่ม Mai Tai เป็นค็อกเทลยอดนิยมบนเกาะ หรือจะเลือกไวน์ เบียร์ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็ได้ตามชอบใจ ในขณะเดียวกันก็มีการสอนให้สานปลาจากใบมะพร้าว การสอนรำฮาวาย การวาดลวดลายต่าง ๆ เป็นลายสักยันต์ปลอม ๆ สีสวย ตามส่วนของร่างกายที่ชอบ รวมทั้งมีดนตรีบรรเลงกล่อมตลอด




อาหารหลักที่สำคัญของมื้อนี้คือหมูอบ (Kalua Pig) ที่พ่อครัวเตรียมการและอบมาหลายชั่วโมง ถึงเวลาเอาหมูออกจากเตาอบ เขาก็เชิญชวนให้ทุกคนได้ชม



ก่อนอาหารมีการโชว์กษัตริย์ออกงานรับแขก อาหารมื้อนี้สมมติว่าเป็นอาหารมื้อที่กษัตริย์ทรงเลี้ยงรับรองแขกเมือง



อาหารมื้อนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ อาหารที่เป็นแบบฮาวายคือเผือกบด (Poi) ยำปลาดิบ (Poke) ซัลซ่าปลาซัลมอน (Salmon Lomi) ไก่ปูเลฮู (Pulehu Chicken) หมูนึ่งใบบอน (Lau Lau) มันเทศ (Uala) เป็นต้น ที่เหลือเป็นอาหารทั่วไป อย่างสลัด มักกะโรนี เนื้อเทอริยากิ เป็นต้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่อาจไม่อยากลองอาหารท้องถิ่น



ระหว่างรับประทานอาหารมีการแสดงชาวเกาะให้ชม เป็นการแสดงที่น่าตื่นตา ตื่นใจมาก ๆ ทั้งแบบฮาวาย แบบตาฮิติ แบบนิวซีแลนด์ และ Samoa เรียกได้ว่าเป็นเวลาสามชั่วโมงที่ไม่น่าเบื่อเลย

Thursday, February 04, 2010

Hawaii – day 4

snorkeling

วันนี้เราจะไปดำน้ำดูปะการังและปลาสวย ๆ โดยเรือ Hula Kai ลำเดียวกับที่เราไปดูปลากระเบนเมื่อวาน โชคเข้าข้างเพราะกัปตันบอกว่าวันนี้เป็นวันที่อากาศดีที่สุด วิสัยทัศน์ในการดำน้ำก็ดีที่สุดในรอบเดือนกกว่า ๆ ที่ผ่านมา



เรือออกเวลาเก้าโมงครึ่งตามกำหนดจะเข้าฝั่งประมาณบ่ายสองครึ่ง รวมอาหารเช้า ของว่างและอาหารกลางวัน เครื่องมือดำน้ำอย่างหน้ากากและตีนกบด้วย



เพราะอากาศดีจึงมองเห็นวิวชายฝั่งรอบเกาะได้ดี หินภูเขาไฟสีดำ เกือบไม่มีทรายขาวเลย



เราจะไปดำน้ำแค่สองจุด จุดดำน้ำจุดที่หนึ่งที่เราแวะเรียกว่า โอเชี่ยนการ์เด้นท์ มีปะการังและปลาให้ดูพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นปลาสีเหลือง ปะการังสมอง ปลาเก๋า ปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อ และปลาการ์ตูน



จุดที่สองเรียก Turtle rocks ที่เรียกอย่างนี้เพราะมีหินที่ดูแล้วเหมือนเต่ากำลังว่ายน้ำอยู่ จุดนี้ทรายจะเป็นสีดำ มีเต่าทะเลให้เห็นด้วย แต่ปลาและปะการังมีไม่มากเท่าจุดแรก ณ จุดนี้ บางคนเห็นปลาหมึกยักษ์ด้วย



อาหารกลางวันบนเรือเป็นเบอร์เกอร์และอกไก่เทอริยากิ เสริฟพร้อมสลัดผัก กัปตันปิ้งเนื้อเองบนเรือ อร่อยดี



เราขอกัปตันและทีมถ่ายรูป เห็นเขาชูนิ้วก้อยกับนิ้วโป้งมั้ย สัญลักษณ์นี้เห็นได้ทั่วไปบนเกาะ เช่นเวลาเขาขับรถสวนกัน เป็นต้น แปลว่า Hang loose หรือ take it easy



สิ่งที่สำคัญที่สุดในทริปดำน้ำนี้คือมีปลาวาฬให้ดูระหว่างทางเยอะมาก กัปตันหยุดเรือเป็นระยะ ๆ เพื่อให้พวกเราได้ชมกันเต็มตา มีอยู่ที่หนึ่งที่ปลาวาฬมันกระโดดขึ้นมาสูงมากเห็นเกือบครึ่งตัว ทุกคนบนเรือตะลึง เพราะคาดไม่ถึงว่าจะเห็นจะ ๆ อย่างนั้น น่าตื่นตาตื่นใจ



แต่ก็นั่นแหละจับภาพได้ยากมาก เพราะกำหนดไม่ได้ว่ามันจะโผล่มาจุดไหน เมื่อไหร่ ส่วนใหญ่เราจะเห็นมันพ่นน้ำก่อน แล้วหลังมันก็โผล่มา บางทีก็ครีบ แต่ถ้าเราเห็นหางมันโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเมื่อไหร่ นั่นคือมันกำลังดำน้ำลึก ก็จะไม่เห็นมันอีก คือการโบกมือลานั่นเอง



ขึ้นจากเรือเกือบบ่ายสาม ยังพอมีเวลาเหลือไปชมไร่กาแฟ ก็เลยขับไปชมไร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือนั่นเท่าไหร่ ขับรถประมาณสิบห้านาทีได้ ขาไปแวะที่จุดชมวิวนิดหนึ่งด้วย เห็นต้นลูกยอเต็มไปหมด เห็นแล้วคิดถึงห่อหมกใบยอจัง



เมืองโคน่าขึ้นชื่อเรื่องกาแฟ (Kona Coffee) เป็นหนึ่งในกาแฟเลื่องชื่อของโลก การจะได้ชื่อว่าเป็นกาแฟโคน่านั้น ต้องปลูกให้ถูกต้องตามกฏนั่นคือ ปลูกบนไหล่เขาในเขตเมืองโคน่า ที่ความสูงและอุณภูมิจำกัด เขาจะเก็บเกี่ยวลูกกาแฟด้วยมือ ไม่ใช้เครื่อง ถ้าไม่ปลูกในบริเวณที่กำหนดแต่ปลูกบนเกาะจะเรียกว่า Hawaiian Coffee แทน




ที่ไร่นี้ปลูกส้มไว้นิดหน่อย



รวมทั้งอะโวกาโด้ด้วย



แต่พื้นที่เกือบทั้งหมดปลูกกาแฟ เป็นไร่ที่ปลูกกาแฟบนเกาะที่เก่าแก่ที่สุด นอกนั้นยังรับซื้อกาแฟจากผู้ผลิตรายย่อยบนเกาะ ไร่นี้ส่งออกกาแฟโคน่าประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของผลผลิตกาแฟโคน่าทั่วโลก



เราเข้าชมการแยกเมล็ดกาแฟ และการตากแห้ง เขาจะส่งออกเพาะเมล็ดตากแห้งไม่คั่ว เรียกว่า green beans เท่านั้นผู้สั่งซื้อจะเอาไปคั่วเอง แต่เขามีคั่วขายประมาณห้าเปอร์เซ็นต์ของผลผลิตที่หน้าร้านซึ่งมีนักท่องเที่ยวแวะเข้ามาตลอดเวลา



อย่าลืมดอกลั่นทมซึ่งหาได้ทั่วไปบนเกาะ สีสวยส่งกลิ่นหอมไปทั่ว

Wednesday, February 03, 2010

Hawaii – day 3

Night snorkeling with Manta Rays

วันนี้ตื่นแต่เช้าอีกเหมือนเดิม ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับเวลาท้องถิ่น เราเริ่มต้นวันด้วยกาแฟสดโคน่าชงเองหอมกรุ่น กินกับโยเกิร์ทที่ซื้อมาตุนไว้เมื่อวาน กับขนมปังหวาน (Sweet bread) ที่เป็นขนมปังประจำถิ่น ปาดแยมสตอร์แบรรี่อร่อยลิ้น

วันนี้เราจะไปนอนเล่นบนหาดที่เขาบอกว่าดีที่สุดของเมืองโคน่าชื่อ Kua Bay เป็นหาดที่มีทรายขาวเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่น ดังที่กล่าวไปแล้วเกาะใหญ่นี้มีหินภูเขาไฟเป็นฐาน หาดไม่ค่อยมีทราย หรือมีก็เป็นทรายดำอิทธิพลจากหินลาวาไหลจากภูเขาไฟ อีกทั้งที่ตั้งของเกาะอยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จึงล้อมรอบไปด้วยทะเลเปิด หาที่เล่นน้ำตื้นยากมาก



ระหว่างทางไปหาดสองข้างเห็นแต่หินภูเขาไฟที่เริ่มมีหญ้าขึ้นประปราย มองไปไกลโล่งหูโล่งตา เป็นหินดำแซมด้วยหญ้าสีเหลืองนวลสวยไปอีกแบบ



หาดนี้ไม่มีป้ายบอกชัดเจน เข้าใจว่าเขาสงวนไว้สำหรับคนท้องที่ แต่นักท่องเที่ยวก็รู้กันจากปากต่อปาก หรือหนังสือคู่มือท่องเที่ยวบางเล่ม รวมทั้งอินเตอร์เน็ทด้วย ก่อนถึงหาดเนินเขาสองลูกเล็ก ๆ ที่เกิดจากหินภูเขาไฟไหลมาถมเป็นเนินสูงเหมือนภูเขาหญ้าสีเหลืองตัดกับท้องฟ้าสวย



เมื่อถึงหาดออกจะผิดหวังเล็กน้อย เพราะเห็นเป็นหาดทรายเล็กนิดเดียว นอกนั้นเป็นโขดหิน เวลาจะนั่งก็ต้องหาที่ว่างตามโขดหิน สาวไทยอย่างเราได้ยึดร่มใต้ต้นไม้เป็นที่นั่งดูทะเลและนักโต้คลื่นแถมปลาวาฬพ่นน้ำด้วย



ฟ้าสวยสดตัดกับน้ำทะเลสีเขียวอมฟ้า คลื่นลูกใหญ่ถาโถมสู่ฝั่งอยู่ตลอดเวลา ที่คอนโดมีเก้าอีผ้าใบและเสื่อให้ด้วย ก็ขนมาทั้งสองแบบ เอาไว้นั่งและนอนตามชอบใจ



หลายคนมาเล่นกระดานโต้คลื่น ทั้งเพิ่งหัดและที่เล่นมานานแล้ว ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่ปลาวาฬโผล่มาพ่นน้ำให้เห็นเป็นระยะ ๆ หน้าหนาวของทุกปี ฝูงปลาวาฬจะอพยพมาอยู่แถวนี้ ทั้งเพื่อผสมพันธุ์และคลอดลูกอ่อน ดังนั้นจะมีปลาวาฬให้เห็นรอบเกาะไม่ว่าจะอยู่จุดไหน



ทีแรกว่าจะว่ายน้ำเล่น แต่เห็นคลื่นแล้วทำใจไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเวลาสองชั่วโมงที่เรานั่งเล่นใต้ต้นไม้ก็เป็นเวลาแห่งความสงบและสวยงามน่าประทับใจดี



ใกล้เที่ยงแล้วเริ่มหิว เมื่อวานเห็นร้านอาหารไทยอยู่ร้านหนึ่งติดบริษัททัวร์ ที่ Kailua-Kona อยากกินอาหารรสจัดจังวันนี้ไปแวะทานดีกว่า สั่งส้มตำและยำปลาหมึกมากินกับชาไทยเย็น ๆ ริมหาด อร่อยดีแท้

ตกเย็นเราไปลงเรือเพื่อดำน้ำกับปลากระเบน (Manta Ray) โดยไปกับเรือ Hula Kai ที่มีลูกเรือที่เป็นมิตรและมีความรู้มาก ๆ ยังไม่นับหน้าตาหล่อเหลานะจ๊ะ



ระหว่างรอขึ้นเรือที่ท่า เต่าทะเลตัวหนึ่งก็มาอวดโฉมให้ชมซึ่ง ๆ หน้า เลยจับถ่ายรูปซะหน่อย



การชมปลากระเบน ต้องเป็นตอนกลางคืน เพราะกระเบนชนิดนี้กินแพลงค์ตอนเป็นอาหาร และแพลงค์ตอนก็ชอบแสง เขาจึงเอาไฟมาเปิดล่อแพลงค์ตอน กระเบนก็ตามแพลงค์ตอนมาไงล่ะ เราก็จะได้ดำน้ำร่วมกับมัน

ก่อนออกเรือเราได้ชุด wet suit คนละชุด หน้ากากดำน้ำและครีบ เมื่อไปถึงจุดดำน้ำซึ่งไม่ไกลจากฝั่งนัก ประมาณหนึ่งร้อยเมตรเห็นจะได้ พนักงานปลอ่ยทุ่นลอยเหมือนข้อกระดูกต่อกันไปในน้ำ เพื่อให้คนจับ บนทุ่นติดไฟสป็อทไลท์เพื่อส่องปลาด้วย



พอปล่อยทุ่นปั๊ปปลากระเบนก็ปรากฏตัวเลย แรก ๆ มีมาสามตัว หลังเป็นสีดำ ท้องขาว ไม่กลัวคนเลย กระเบนชนิดนี้ไม่มีเข็มแหลม ไม่มีฟันหรือหนังที่ขรุขระ จึงปลอดภัยที่จะดำน้ำร่วมกับมัน



กระเบนชนิดนี้ยังเป็นกระเบนที่ใหญ่ที่สุด ขนาดใหญ่สุดอาจมากกว่า 15 ฟุต มันว่ายน้ำไปมา กลับตัวหงายท้อง พลิกไปพลิกมา มันมา ทุกคนต่างก็ชื่นชมส่งเสียงอู้อ้ากันใหญ่ ว่ายน้ำเล่นกับเราสักพักแล้วก็ไป รวมแล้วเราเห็นทั้งหมด 6 ตัวด้วยกัน เวลาสี่สิบห้านาทีผ่านไปเร็วมาก



ดำน้ำเสร็จเขามีซุปร้อน และเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นเสริฟ รวมอยู่ในแพ็กเก็จเรียบร้อยแล้ว

Monday, February 01, 2010

Hawaii – day 1 and day 2

Day 1 - getting there

ยังไม่เคยเริ่มเขียนการเดินทางจากสนามบินโตรอนโตมาก่อน โดยปรกติจะเริ่มเขียนเมื่อถึงที่หมายแล้ว ครั้งนี้อยากเขียนเพราะจากโตรอนโตต้องนั่งเครื่องบินถึงสามต่อ ใช้เวลาในการเดินทางเป็นวันกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางที่เกาะฮาวาย เครื่องออกจากโตรอนโตไปคัลการี่เวลา เจ็ดโมงเช้า เราไปถึงสนามบินแต่ตีห้า ปรากฏว่าคนไม่เยอะเลย อาจเป็นเพราะมันเช้ามากมาย เช็คกระเป๋าและผ่านด่านตรวจแล้ว ยังไม่ตีห้าครึ่งซึ่งเป็นเวลาที่เลาจ์ของสายการบินแอร์แคนาดาจะเปิดบริการผู้โดยสารชั้นพิเศษ

ข้อดีอย่างหนึ่งของเวลาเช้าตรู่ก็คือที่เลาจ์คนไม่แน่นเลย ไม่ยุ่งวุ่นวาย พอมองหามุมสงบอ่านหนังสือ กินกาแฟและอาหารเช้าได้สบาย ๆ



เครื่องลงที่สนามบินคัลการี่ประมาณสิบโมงเช้า ที่นี่เราต้องรอต่อเครื่องไปลงที่สนามบินซานฟรานซิสโกเวลาบ่ายโมงกว่า ๆ รับกระเป๋าผ่านด่านสุลกากรสหรัฐแล้วยังมีเวลาเหลือตั้งสี่ชั่วโมง ยิ่งวันนี้ที่ซานฟรานซิสโกมีพายุฝนฟ้าคะนอง ทำให้เที่ยวบินจากคัลการี่ต้องเลื่อนเวลาออกไปอีก เวลาเหลือเยอะเลย ทำอะไรดีหนอ ในส่วนนี้ของสนามบินไม่มีเลาจ์ของสายการบินสำหรับผู้โดยสารชั้นพิเศษให้นั่งเล่นเย็นใจเสียด้วย จำใจต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าบริการเลาจ์ที่สนามบิน ก็ถือว่าใช้ได้แหละ เวลามันเหลือเยอะมีที่นั่งหน้าเตาผิงให้เล่นอินเตอร์เน็ทหรืออ่านหนังสือได้อุ่น ๆ



ในที่สุดเครื่องก็ออก จากคัลการี่เราบินขนานไปกับเทือกเขาร็อกกี้ ยอดเขาปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน



เครื่องลดระดับลงสนามบินซานฟรานซิสโก มองเห็นสะพาน Golden bridge สีแดงตระหง่าน



เพราะเครื่องดีเลย์จากสนามบินคัลการี่ พอลงเครื่องที่ซานฟราน เราก็ต้องรีบวิ่งไปขึ้นเครื่องเพื่อจะไปจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเราคือ Kona บนเกาะฮาวาย

จากซานฟรานไปโคน่า พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ทำให้เห็นกลุ่มเมฆเป็นสีทองอมส้มส่องประกายสวยงาม

Aloha Hawaii

เครื่องลงที่สนามบินโคน่าเกือบสามทุ่ม ท้องฟ้ามืดสนิท จากนั้นเราก็ต้องไปรับรถที่เช่าไว้ล่วงหน้าทางอินเตอร์เน็ท ได้รถมาสด้า 6 มาใช้ การขับรถไปยังคอนโดที่เราเช่าไว้ลำบากพอสมควร เพราะเราไม่คุ้นทางและถนนหนทางก็ค่อนข้างมืด แต่เราก็มาถึงที่หมายจนได้ คืนนั้นหลับเป็นตายเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง

day 2 - historical cruise

ยังไม่คุ้นกับเวลาที่ฮาวาย หลับ ๆ ตื่น ๆ มาตั้งแต่ตีสี่ จนประมาณแปดโมงเช้า จึงตื่นขึ้นมาท้องร้องจ๊อก ๆ เพราะเป็นเวลาอาหารกลางวันของโตรอนโต ต้องหาบะหมี่สำเร็จรูปที่ติดมาจากบ้านกิน เป็นแผนสำรองที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะเรายังไม่รู้ที่กินเลย

หน้าคอนโดที่เราเช่าอยู่มีดอกชบาสีชมพูบานสวย ดอกชบาคือดอกไม้ประจำรัฐฮาวาย



เก้าโมงเช้าเราขับรถไปดูลาดเลาในเมือง Kailua-Kona ถนนสายสำคัญในเมืองชื่ออลิอิ ไดร์ฟ (Alii Drive) เป็นถนนเลียบหาดเป็นที่ตั้งของโรงแรม คอนโด ร้านอาหาร ผับ และอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าแก่นักท่องเที่ยวทั้งหลาย



เกาะฮาวายมีชื่อเสียงเรื่องกาแฟ เมื่อเราเห็นคาเฟ่ริมทะเลเลยรีบแวะ รับกาแฟร้อนโคน่าและมะละกอสุกเป็นอาหารเช้าชาวเกาะมื้อแรก ดื่มกาแฟไป ชมวิวไป อารมณ์ดีไม่น้อย



ริมทางมีต้นไม้ใหญ่ยักษ์ ให้ร่มเงากว้าง ดินที่นี่เป็นดินภูเขาไฟ มีแร่ธาตุเยอะ ต้นไม้โตเร็ว



วันนี้เป็นวันแห่งการวางแผน เราแวะสำนักงานขายทัวร์เล็ก ๆ จองทัวร์ทุกทัวร์ที่อยากไป การมาฮาวายครั้งนี้ของเราเป็นการเดินทางและเที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิต ดังนั้นการเที่ยวกับทัวร์จึงเป็นสิ่งที่ดี เราจะได้พบเพื่อนใหม่ และได้ความรู้จากไกด์ของแต่ละทัวร์ด้วย เมื่อเราซื้อรวม ๆ กันหลายทัวร์ เขาก็ลดราคาให้พอสมควร ประหยัดไปได้หลายสตังค์ เดี๋ยวจะทะยอยเล่าว่าไปไหนบ้าง

หลังจากนั้นก็ไปซื้อของกินของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับเวลาแปดวันบนเกาะ ต้องถามคนขายทัวร์ว่าคนท้องถิ่นไปซื้อของที่ไหนจะได้ไม่ต้องจ่ายราคานักท่องเที่ยว ไม่ลืมซื้อกาแฟบด และแชมเปญสำหรับวันเหงา ๆ ในห้องคนเดียว

อาหารกลางวัน ๆ นี้เป็นไชนีสเทกเอาท์ กลับมากินที่คอนโด เพราะต้องเอาของมาเก็บ และเตรียมตัวไปล่องเรือเพื่อทานอาหารเย็นวันนี้

สามโมงครึ่งเราเช็กอินเพื่อลงเรือชมวิวเป็น Dinner Cruise พร้อมการบรรยายประวัติของเกาะ โดยไกด์หน้าตาดี สิ่งก่อสร้างตามหาดต่าง ๆ ของกษัตริย์แต่ละพระองค์ มีรบราฆ่าฟัน แย่งดินแดนกัน โรคร้ายต่าง ๆ ที่ทำให้คนตายเกือบยกเกาะ ได้ความรู้ดีนะ



มีการแสดงดนตรีสดสไตล์ฮาวาย เพลงนุ่ม ๆ ประกอบเสียงคลื่น ได้บรรยากาศดี

เกาะใหญ่นี้มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหินที่ไหลมาจากภูเขาไฟเพิ่มขนาดเกาะทุกปี รอบ ๆ เกาะจึงเห็นเป็นหินสีดำ ระหว่างทางเราเห็นทั้งปลาโลมา และปลาวาฬพ่นน้ำเป็นระยะ ๆ น่าเสียดายจับภาพไม่เคยทัน



เขามีคูปองแลกเครื่องดื่มให้คนละหนึ่งใบจิบไปชมวิวไปสบายใจดี




ที่แน่ ๆ บาร์เทนเดอร์หน้าตาหล่อเหลา มองไปคล้าย ๆ ทอม ครูซแต่สูงกว่าแถมหนุ่มกว่า ทำเอาสาว ๆ น้ำลายหกไปหลายคน



อาหารเย็นประกอบด้วย หมูห่อใบบอน อาหารประจำถิ่นของที่นี่ เนื้อย่างเทอริยากิ และ ปีกไก่ Pulehu chicken พร้อมสลัด ขนมปังหวานซึ่งเป็นขนมปังเฉพาะของฮาวาย

ระหว่างเดินทางกลับพระอาทิตย์สีส้มสดค่อย ๆ หล่นลงน้ำ เห็นแล้วโรแมนติกจัง



ภาพทุกภาพบนเกาะ จะออกสลัว ๆ ฟ้าไม่ใสเพราะเกาะถูกคลุมด้วยเขม่าภูเขาไฟคิลาเวีย (Kilauea) ซึ่งคุกรุ่นมาตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา