Monday, November 12, 2007

Korean Food

จากการสำมะโนประชากรในปี 2001 พบว่ามีคนเกาหลีอาศัยอยู่ในเขตโตรอนโตและถิ่นใกล้เคียงเกือบห้าหมื่นคน ด้วยเหตุนี้เองจึงมีร้านอาหารเกาหลีมากมาย ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเขต Korean town ซึ่งมีอยู่สองแห่งคือ บนถนน Bloor ระหว่างถนน Christie และถนน Bathurst ซึ่งถือว่าเป็น Korean town ดั้งเดิม กับอีกแห่งคือ บนถนน Yonge ระหว่างถนน Sheppard Avenue กับถนน Steeles ถือว่าเป็น Korean town แห่งใหม่ไว้บริการคนเกาหลีรุ่นใหม่และผู้ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเมือง




เมื่อเราไปทานอาหารเกาหลี เขาจะต้อนรับด้วยน้ำชาร้อน ๆ เสริฟมาในถ้วยกระเบื้องขนาดใหญ่ พอเราสั่งอาหารแล้วก็มีจะอาหารประกอบจานเล็ก ๆ เรียกว่า Banchan สำหรับทานไปพลาง ๆ ระหว่างรออาหารที่เราสั่ง ตัวอย่างของอาหารจานเล็ก ๆ นี้ ก็เช่น กิมจิ ซึ่งเป็นผักกาดขาวหรือหัวไชเท้าดองใส่พริกป่นสีแดงสด Namul เป็นผักลวกหรือผัดปรุงรสด้วยน้ำมันงา เกลือ หรือน้ำส้ม หรือกระเทียม หรือซีอิ้วขาว ฯลฯ





Banchan ที่เราเคยทาน ชอบ และยังจำได้ก็มี แพนเค้ก (Pajun) เป็นแป้งกลมบางทอดกรอบอาจใส่ต้นหอม หรืออื่น ๆ เพื่อความอร่อย ถ้าใส่อาหารทะเลจะเรียกว่า Hae Mul Pajun เคยกินผ้าขี้ริ้วยำปรุงรสด้วยพริกป่นสีแดงจัด ขิงซอย น้ำมันงา ต้นหอม อร่อยมาก

จริง ๆ แล้วอาหารเกาหลีทุกชนิดสามารถนำมาเสริฟเป็น Banchan ได้ และเราก็สามารถขอให้เขาเติมอาหารเหล่านี้ให้ ถ้าเรากินจนหมดแล้ว


ส่วนอาหารจานหลักเราอาจสั่งเนื้อย่าง เช่น บัลโกกิ (เนื้อหั่นเป็นชิ้นแล้วย่าง) หรือ กัลบิ(เนื้อซี่โครง) บางร้านก็มีที่ย่างให้เราตามโต๊ะบางร้านก็ไม่มีต้องทำมาจากในครัว ตามธรรมเนียมนั้นถ้าเราย่างเนื้อเองที่โต๊ะอาหาร เวลากินควรหั่นเป็นชิ้นเล็กพอคำ ห่อด้วยผักกาดหอม กินกับซอสถั่วบด กระเทียมซอย และพริกซอย





ถ้าชอบอาหารรสจัดลองทานซุปปลา มีให้เลือกหลายชนิด เช่น Daegu Tang เป็นปลาคอด Saeng Te Tang เป็นปลาเนื้อขาวชนิดหนึ่งรสดีทีเดียว ต้มซุปปลานี้เราว่ารสชาติจัดจ้านเหมือนแกงส้มบ้านเราเพียงแต่ไม่เปรี้ยวเท่านั้นเอง




ถ้ากินกันหลายคนควรสั่งหมูผัดเปรี้ยวหวาน (Tang Soo Yuk) มาช่วยกันกิน สั่งได้ทั้งหมู ไก่ หรือเนื้อ เขาจะเอาเนื้อเหล่านี้ไปทอดให้กรอบก่อนราดด้วยซ้อสเปรี้ยวหวานผสมผลไม้หั่น รสชาติไม่หนักเกินไป ทานอร่อย เราว่าอร่อยกว่าผัดเปรี้ยวหวานของจีนมากเลย



อีกจานที่ควรสั่งมาทานร่วมกันคือผัดเผ็ดปลาหมึก (Ojingo Bokum) เป็นปลาหมึดผัดกับพริกแกงสีแดง รสเผ็ด อร่อย หมูเปรี้ยวหวานกับผัดเผ็ดปลาหมึกนี้ทุกร้านจะจัดเสริฟมาในจานขนาดใหญ่กินได้หลายคน



เล่าคร่าว ๆ เรียกน้ำย่อย ถ้าอดใจไม่ไหวลองหาร้านอาหารเกาหลีใกล้บ้านคุณนะคะ แล้วจะติดใจ

Sunday, November 11, 2007

George Town

วันนี้เราไปเมืองเล็ก ๆ ชื่อ George Town ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโตรอนโต จริง ๆ แล้วแถบนั้นเรียกว่า Halton Hills ประกอบไปด้วยเมืองเล็ก ๆ หลายเมือง นอกจาก Georgetown แล้วยังมี Acton, Stewarttown, Glenwilliams, Norval, Hornby, Limehouse ฯลฯ





ขับรถจากโตรอนโตก็ไม่ยาก ตามทางหลวง 401 ไปทางทิศตะวันตก แล้วไปออกที่ Winston Churchill Boulevard ขับไปทางทิศเหนืออีกสองไฟแดงก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Steeles อีกไม่เกินห้านาทีก็เลี้ยวขวาเข้าถนน 8th Line ไปอีกไม่กี่กิโลก็ถึงตัวเมือง George Town ในบันดล




หลังจากออกจากทางหลวง 401 เราจะสังเกตเห็นโบสถ์เป็นระยะ ๆ เข้าใจว่าคนชนบทยังชอบไปโบสถ์กันอยู่มาก จึงไ้ด้มีให้เห็นมากมายเกือบทุกมุมถนน ขนาดตัวเมือง George Town เมืองเ็ล็ก ๆ ยังเห็นมีสองโบสถ์ติด ๆ กัน



พื้นที่ข้างถนนส่วนใหญ่ยังเป็นฟาร์มแลนด์กว้างใหญ่ มีโรงนาหลากสีหลายขนาดให้ดูอย่างชื่นใจ เพื่อบรรยากาศนอกเมือง ในขณะเดียวกันก็เห็นโครงการสร้างบ้านที่อยู่อาศัยขึ้นมาพรึบพรับภายในระยะเวลาสองสามปีที่เราเริ่มขับรถมาเมืองนี้ ชุมชนเริ่มขยายขึ้นแล้วสิ




เคยมาที่นี่ตอนหน้าหนาว มีที่ให้เล่นลื่นหิมะลงเนิน (Toboggan) อยู่หลายที่ ปรกติเขาจะมีไว้ให้เด็ก ๆ เล่นกัน แต่อย่างว่าแหละพวกเราไม่ได้เล่นเมื่อตอนเป็นเด็กมาเล่นตอนโตก็แล้วกัน




ดาวน์ทาวน์ George Town มีขนาดเล็กนิดเดียว มีโบสถ์สองแห่ง มีร้านขายของ เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ร้านขายเนื้อ (Daily Store) ร้านหนังสือ ร้านขายเครื่องประดับเก๋ ๆ ทุกอย่างมีอย่างละร้านเท่านั้น คงเพราะลูกค้ามีไม่มาก ถ้ามาหน้าร้อนหรือหน้าฤดูใบไม่ร่วงเขาก็มีตลาดนัด (Farmer Market) ขายของกินและงานฝีมือของท้องถิ่นให้เลือกซื้อกัน




George Town Thai Cuisine เป็นร้านอาหารขนาดเล็กตั้งอยู่ในตัวดาวน์ทาวน์ และเป็นร้านอาหารไทยแห่งเดียวในเมือง เข้าใจว่าเป็นที่นิยมของชาวเมืองเป็นอย่างดี

เจ้าของร้านคุณใหม่เป็นเชฟใหญ่ของร้านในขณะที่คุณเกดเป็นผู้ดูแลหน้าร้านและไดุ้คุณโอภามาช่วยจัดการร้านอีกแรง




อาหารที่ทานในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นอาหารนอกเมนู และได้รับเกียรติจากคุณแม่เจ้าของร้านช่วยทำแกงอร่อย ๆ ให้ แต่เท่าที่ได้ไปลองชิมมา อาหารในเมนูก็อร่อยไม่แพ้กัน

ปอเปียะทอดที่นี่เป็นไส้ผักแต่ห่อกุ้งเพิ่มเข้าไปอีกตัวหนึ่งหางโผล่ออกมา่น่าลิ้มลอง

ส้มตำที่นี่ก็รสชาติใช้ได้ ถ้าคุณแวะไปทานต้องบอกว่าคนไทยกินนะ รสชาติจะได้ถูกปากเข้าใจว่าเจ้าของร้านเตรียมปูดองไ้ว้ไม่ขาด เพื่อคนไทยที่อาจแวะเข้ามาทานไ้ด้ทุกที




ที่เคยสั่งบ่อย ๆ อีกรายการหนึ่งก็น่าจะเป็นปลาเจี๋ยน ที่เสริฟมาทั้งตัวพร้อมน้ำจิ้มรสดี อันนี้ใช้เวลาทำนานหน่อยแต่คุ้มค่าเวลารอค่ะ อาหารในเมนูมีให้เลือกยาวเหยียด ชอบอันไหนสั่งอันนั้นค่ะ

เข้าเดือนพศจิกายนไปแล้ว ยังไม่เห็นหิมะ แดดจัดจ้า อุณหภูมิประมาณสิบองศานั้นหาได้ไม่ง่ายในออนทาริโอ ยิ่งวันนี้ได้ทานอาหารไทยอร่อย ๆ แล้ว อย่างนี้เอาอะไรมาแลกก็คงไม่ยอม

Sunday, October 21, 2007

2K in 3 Days (IV) - สามวันสองพันกิโล (ตอนที่ 4)

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม




โรงแรมปลุกพวกเราเวลาหกโมงสี่สิบห้า แต่เรานอนต่อจนถึงเจ็ดโมงยี่สิบห้า เพราะกว่ารถบัสจะมารับก็แปดโมงสิบห้าไม่ต้องรีบก็ได้ ที่โรงแรมนี้ไม่มีอาหารเช้าให้ เราก็แค่ดื่มกาแฟในห้องเท่านั้นเอง




วันนี้เราจะไปเที่ยวน้ำตกโชดิเอ่ร์กัน น้ำตกนี้ประกอบไปด้วยน้ำตกแขนงย่อย ๆ หลายแขนง ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมืองออตตาว่า-กาติโน ที่ซึ่งแม่น้ำออตตาว่าเว้าแคบระหว่างแนวหินทั้งสองฝั่ง น้ำตกกว้างประมาณ 60 เมตรและสูงประมาณ 15 เมตร




ต่ำลงมาจากน้ำตกหน่อยมีสะพานแขวนข้ามแม่น้ำซึ่งเป็นจุดที่เราสามารถมองเห็นน้ำตกได้ชัดเจน รอบ ๆ น้ำตกมีต้นไม้น้อยใหญ่ส่งสีสันสวยงาม เป็นภาพน่าประทับใจอีกภาพหนึ่ง



เรากลับขึ้นรถอีกทีตอนเก้าโมงยี่สิบ เพื่อแวะทานอาหารกลางวันที่มอนทริออล



ขับมาประมาณสามชั่วโมงเวลาเที่ยงตรงเราก็มาถึงจุดรับประทานอาหารกลางวัน เป็นแมนดารินบุฟเฟต์อีกแล้วแต่คนละร้านกับเมื่อวาน มานี่สามวันกินแต่บุฟเฟท์อาหารจีนเบื่อไปเลย



วันนี้เราทานไม่มาก และสัญญาว่าจะไม่เข้าใกล้บุฟเฟท์อาหารจีนอีกนานเลยทีเดียว



บ่ายโมงครึ่งพวกเราก็ขึ้นรถกลับบ้าน ระหว่างนี้ก็มีหยุดให้เข้าห้องน้ำหนึ่งครั้งและหยุดให้ซื้อแอ็ปเปิ้ลพายที่ร้านบิ๊กแอ๊ปเปิ้ลข้างทางหลวงด้วย



ไม่น่าเชื่อว่าลูกทัวร์จะซื้อพายมากมายปานนี้ เกือบทุกคนจะถือพายกลับบ้าน บางคนก็ซื้อตั้งหลายอัน


ก่อนถึงที่หมายมัคคุเทศน์ให้พวกเราจ่ายค่าทิปซึ่งเราก็ไดัรับทราบล่วงหน้าแล้วว่าต้องจ่ายคนละ 8 เหรียญต่อวัน สามวันก็ตก 24 เหรียญ ทั้งหมดเกือบหกสิบคนก็เกือบพันห้าร้อยเหรียญแน่ะ

หกโมงครึ่งเราลงจากรถข้างถนนสายหนึ่งในสการ์โบโร่ ทริปนี้สิ้นสุดลงแล้วแต่ความทรงจำยังอยู่ตลอดไป ตลอดทริปเราจ่ายไป สามร้อยเจ็ดสิปเหรียญ รวมเป็นค่ารถ ค่าโรงแรม อาหาร ภาษี และทิป และนอนสองคนต่อห้อง ถ้านอนสามหรือสี่คนก็จะจ่ายน้อยกว่านี้

ถึงแม้เราจะไม่ชอบบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับทริปนี้แต่เราว่าการได้ไปเที่ยวเมาท์ทรอมบลองในหน้าฤดูใบไม้ร่วงนี้ช่างคุ้มกับค่าใช่จ่ายเป็นอย่างมาก

Thursday, October 18, 2007

2K in 3 Days (III) - สามวันสองพันกิโล (ตอนที่ 3)



บ่ายสี่โมงสิบห้านาทีพวกเรามาถึงเมืองเก่าเควเบ็กซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองเดียวที่ตั้งอยู่เหนือเม็กซิโกที่มีกำแพงป้องกันข้าศึก และเป็นเมืองแบบยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกา รถบัสจอดให้พวกเราลงหน้าตึกสำคัญของเมืองตึกหนึ่ง เป็นโรงแรมชื่อชาโตฟรอนติแน็ก ซึ่งตั้งชื่อตามเจ้าเมืองเควเบ็กคนหนึ่ง เชื่อว่าโรงแรงนี้ถูกถ่ายรูปมากกว่าโรงแรมใด ๆ ในโลก






เรามีเวลาสองชั่วโมงที่นี่ เราจึงเดินไปรอบ ๆ เพื่อถ่ายรูป ซึมซับบรรยากาศแบบยุโรปสมัยก่อน และฟังดนตรีที่ศิลปินท้องถิ่นบรรเลงอยู่ตามหัวมุมถนน






ที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เราสามารถหาซื้อของได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องครัว หรือภาพศิลปะต่าง ๆ ทุกห้างร้านตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ส่วนใหญ่จะตกแต่งในโทนออกสีส้มสำหรับฤดูเก็บเกี่ยว






นอกจากนั้นก็ยังมีร้านอาหารและบาร์เครื่องดื่มไว้บริการ เราสามารถเลือกนั่งทั้งข้างในและข้างนอกในบรรยากาศแบบยุโรป ทางเดินแคบ ๆ และนักท่องเที่ยวขวักไขว่ทำให้เรานึกถึงตอนที่ไปเที่ยวอิตาลีเป็นอย่างยิ่ง





หกโมงสิบห้าเรากลับขึ้นรถบัสอีกที จากนี้เราก็จะไปกินอาหารเย็นกันล่ะ เมื่อเราเดินเข้าไปในร้านอาหาร La Maison du Spaghetti เราก็คิดเลยว่าทัวร์นี้คงเลือกร้านอาหารที่ถูกที่สุดเพื่อทำสัญญาให้ลูกทัวร์เป็นแน่ แต่ก็นั่นแหละจะไปเอาอะไรมากกับเงิน 81 เหรียญรวมค่าอาหาร 4 มื้อ ภาษีและทิป





อาหารเรียกน้ำย่อยเป็นตับบดสองชิ้นเสริฟมาบนผักกาดหอมกับมะเขือเทศหนึ่งชิ้น ตามด้วยซุปฟักทอง อาหารหลักเราสามารถจะเลือกเนื้อ อกไก่ ปลา หรือมังสวิรัติ ถ้าจะทานกุ้งล็อปสเตอร์ก็เพิ่มตังค์อีก 5 เหรียญ ไม่ว่าจะเลือกอะไรจานหลักก็เสริฟพร้อมแคร์ร็อทและถั่วลันเตาแบบแกะจากถุงแช่แข็งมา



ระหว่างอาหารพวกเราสั่งไวน์ขาวมาขวดหนึ่งดื่มกันสามคน หลังอาหารมีเคร็มคาราเมลเสริฟเป็นของหวาน อาหารเย็นก็ผ่านพ้นไปซะที



ทุ่มห้าสิบนาทีรถบัสนำพวกเราไปส่งที่โรงแรม คืนนี้เรานอนที่โรงแรมคลาสสิก เป็นโรงแรมระดับสามดาวใกล้เมืองเก่า ห้องค่อนข้างมีขนาดใหญ่ และมีอุปกรณ์พร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเป่าผม ที่รีดผ้า เครื่องชงกาแฟ หรือเตาไมโครเวฟอุ่นอาหาร



To be continued มีต่อตอนหน้า

Wednesday, October 17, 2007

2K in 3 Days (II) - สามวันสองพันกิโล (ตอนที่ 2)

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม






มัคคุเทศน์บอกให้ทางโรงแรมปลุกพวกเราแวลาโมงเช้า แต่เราตื่นก่อนเนื่องจากกลัวไม่ได้ถ่ายรูปหมู่บ้านคนเดิน จริง ๆ แล้วไม่รู้ว่าทางทัวร์มีเวลาให้พวกเราถ่ายรูปที่หมู่บ้านคนเดินตอนสายวันนี้ต่างหากไม่งั้นก็คงนอนต่อ ทางโรงแรมมีอาหารเช้าให้วันนี้




พอ 8.15 น เราก็ขนกระเป๋าขึ้นรถแล้วก็ไปลงเรือท่องทะเลสาบทรอมบลอง เรือนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 45 นาที วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดเย็นยะเยือก คนส่วนใหญ่นั่งอยู่ในเรือ แต่เราไม่กลัวหนาวอยู่บนดาดฟ้าเรือตลอดเวลา 45 นาที




วิวของทะเลสาบสวยมาก ใบไม้เป็นสีส้มแดงเหลืองเขียวปนกันไป โรงแรม รีสอร์ทและคอนโดบนภูเขาโผล่มาเป็นช่วง ๆ ส่งสีตัดกับใบไม้ สวยงามเกินบรรยาย รูปภาพใด ๆ ก็มิอาจนำเสนอความงามนั้นเหมือนเราได้เห็นด้วยตาเราเอง เราเคยใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ พอได้มาเห็นทรอมบลอง ก็แทบไม่เหลือความใฝ่ฝันนั้นอีกเลย

.
เวลา 9.40 น พวกเราขึ้นจากเรือก็มีเวลาถึงหนึ่งชั่วโมงสำหรับเดินเที่ยวและถ่ายรูปที่หมู่บ้านคนเดิน หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นมาโดยกลุ่มอินทร้าเวสต์ประกอบไปด้วยโรงแรมชั้นดี ร้านอาหาร ร้านขายของ ทีเรียกว่าหมู่บ้านคนเดินเพราะไม่อนุญาตให้รถเข้า ให้เดินอย่างเดียว




พวกเรานั่งรถชื่อว่า Cabriolet เป็นรถกระเช้าแบบกอนโดล่าเพื่อขึ้นไปชั้นบนของภูเขาเหนือที่ตั้งของหมู่บ้านคนเดิน ใช้เวลานั่งรถกระเช้าประมาณ 5 นาที เสียค่าบัตรคนละ 21 เหรียญ วิวของทะเลสาบและหมู่บ้านท่ามกลางหมู่ไม้สีสดที่มองจากรถกระเช้าสวยมาก แต่พอนั่งไปได้ครึ่งทางเริ่มมีหมอกปกคลุมขาวโพลนไปหมด บนภูเขาอากาศเย็นมากทำให้หมอกกลายเป็นน้ำแข็งปกคลุมต้นไม้เป็นสีขาวสวย แต่มองได้ไม่ไกลเลย




เมื่อขึ้นไปถึงชั้นข้างบน ตรงนั้นมีตึกที่ขายอาหารและเครื่องดื่มรวมทั้งมีห้องน้ำไว้บริการ นักท่องเที่ยวบางส่วนนั่งหน้าเตาผิงเพื่อความอบอุ่น ถ้าเป็นหน้าหนาวคงมีนักสกีเต็มไปหมดเป็นแน่





เวลา 10.40 น เรากลับขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปเมืองเควเบ็กซิตี้เก่าผ่านเมืองมอนทริออล ลาก่อนทรอมบลองแล้วค่อยพบกันใหม่






12.00 น รถบัสมาถึงศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในเมืองมอนทริออลเพื่อพักกินอาหารกลางวันซึ่งวันนี้เป็นแมนดารินบุฟเฟต์

.
พวกเราผู้หญิงเริ่มเรียนรู้เวลาในการใช้ห้องน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะรอหลังอาหารก็ผลัดกันใช้ห้องน้ำระหว่างอาหารจะได้ไม่รอนาน


อาหารวันนี้มีให้เลือกน้อยกว่าติ่มซำเมื่อวาน พวกเราก็ทานกันให้เสร็จภายในเวลา 1 ชั่วโมงตามมัคคุเทศน์บอกไว้

บ่ายโมงสิบนาทีเรากลับขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปยังเมืองเก่าเควเบ็กซิตี้ ทั้งนี้ต้องใช้เวลาขับประมาณ 3 ชั่วโมงผ่านภูมิประเทศอันสวยงามของจังหวัดเควเบ็ก
มีต่อตอนต่อไป
To be continued.