Thursday, February 11, 2010

Hawaii – day 8 and day 9

สองวันสุดท้ายบนเกาะฮาวาย เราทำตัวสบาย ๆ เริ่มต้นด้วยการตื่นสาย ๆ แล้วไปดำน้ำตื้นดูปลาที่หาด Kahaluu Beach Park ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเลย ประมาณหนึ่งกิโลเมตรได้



หาดนี้หรือจะว่าไปทุกหาดรอบเกาะ มีคลื่นแรงมาก สมัย King Kamehameha ได้มีการสร้างกำแพงหินกั้นคลื่นบริเวณนี้ เพื่อจะได้ปลอดภัยในการว่ายน้ำแก่ครอบครัวของกษัตริย์เอง คงทำให้สัตว์น้ำทั้งหลายชอบด้วยมั้ง มาโชว์ตัวให้ชมกันทุกวันเลย



ที่นี่เราสามารถเช่าหน้ากากดำน้ำ และตีนกบได้ในราคาไม่แพง ถ้าว่ายน้ำไม่แข็งก็ควรเช่าเสื้อชูชีพด้วย เพราะถึงจะมีกำแพงหินกั้นบางส่วน บางวันคลื่นก็ยังแรงมาก น้ำลึกโดยเฉลี่ยประมาณสองเมตร วันนั้นบังเอิญน้ำเข้าหน้ากากเรา มีปัญหาในการปรับหน้ากากช่วงน้ำลึกเกินความสูงเราพอดี กำลังทุลักทุเล ติดขัดอยู่ สำลักน้ำไปหลายอึก บังเอิญมีหนุ่มฮาวายรูปหล่อที่ทำงานเป็นไลฟ์การ์ดที่หาดนั้น ขี่ม้าขาว เอ้ย พายกระดานโต้คลื่นมาช่วยชีวิต วาดฝัน จินตนาการดี ๆ เขียนเป็นนิยายรักโรแมนติกได้เรื่องหนึ่งเลยนะเนี่ย



เกือบทุกลูกบาศก์แมตรของน้ำที่หาดนี้มีปลา ปะการังและสัตว์น้ำอื่น ๆ ให้ชมมากมาย เราสังเกตว่าแค่เดินอยู่บนโขดหินใกล้น้ำทะเล ก็เห็นแล้ว จึงเป็นนิยมของทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว คนเต็มทุกวัน



ยกตัวอย่างเช่นหอยเม่นดินสอแดง (Red Pencil Sea Urchin)



Lagoon Triggerfish สีสวยตัวนี้ เป็นปลาที่หาดูได้ง่ายมากรอบเกาะ



หลังจากทานอาหารกลางวันง่าย ๆ เราก็ไปช้อปปิ้งของฝาก อย่าง ถั่วแม็กคาเดเมีย กาแฟโคน่า เป็นต้น จะได้แพ็กก่อนกลับบ้านพรุ่งนี้ หลังช้อปปิ้งยังพอมีเวลาเหลือ ถูกใจเราสิ จะได้ทำกิจกรรมอีกอย่างที่เราชอบ คือนั่งมองนักโต้คลื่น



ให้นึกภาพสาวสวย หน้าตาดี หุ่นเพอร์แฟ็ก สวมบิกินี่สีสด นั่งบนหาดทรายอยู่คนเดียว ถือกล้องถ่ายรูปคอยถ่ายนักโต้คลื่นตอนเขากำลังโฉบเฉี่ยวอยู่บนคลื่นยักษ์ นึกภาพออกมั้ย นั่นแหละเราเอง :)



เพราะคนที่นี่มีมนุษยสัมพันธ์ เป็นกันเอง ดีมาก บางทีก็ได้คุยกันกับนักโต้คลื่นบางคน ที่เขาเอาของกองไว้ใกล้ ๆ เราได้แต่คุย แต่ไม่กล้าเล่นถึงแม้บางหาดจะมีคนสอนโต้ เพราะกลัวตาย ฮา.. ขอนั่งดูหนุ่มหล่อ ๆ ก็พอใจแล้ว



นักโต้คลื่นที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น ถ้ามีเวลาว่างก็มาโต้ เคยคุยกับบางคน เขาย้ายมาจากนิวยอร์คมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่เพราะชอบโต้คลื่นเป็นชีวิตจิตใจ น่าอิจฉาเนอะ ไม่แน่วันหนึ่งชีวิตเราอาจเป็นแบบนั้นก็ได้ ใครจะไปรู้



การนั่งมองนักโต้คลื่น เป็นกิจกรรมสุดท้ายที่เราทำบนเกาะก่อนขึ้นเครื่องลาจากเกาะที่สงบและสวยงาม ขอบคุณสำหรับมิตรภาพและความสุขที่ได้รับ



คืนสุดท้ายบนเกาะ เราไปเที่ยวบาร์ท้องถิ่นในเมืองโคน่า บาร์นี้ไม่มีเหล้าหรือเบียร์ขาย เขาขายเครื่องดื่มที่ทำจากรากไม้เรียกคาว่า Kava Bar)ลูกค้าเป็นคนท้องถิ่นหมด มานั่งดื่มหลังเลิกงานก่อนกลับบ้าน สิ่งที่ประทับใจเราที่สุดคือความมีอัธยาศัยอันดีของชาวเกาะนี้ ทุกคนในบาร์ต่างพูดคุยกับเราราวกับรู้จักกันมานาน ทำให้รู้สึกเป็นกันเองมาก ๆ



อาหารวันนั้นก็ไม่พ้น โพกิ หมูอบ เพิ่มปลาหมึกยักษ์ใบบอนอีกหน่อย กินกับมันเทศสีม่วง ตามสไตล์ชาว จะว่าไปแล้วอาหารบนเกาะไม่ได้เลิศหรูอะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารพื้นเมือง หรือไม่ก็อาหารสไตล์อเมริกันทั่วไป จะมีร้านแบบสี่ดาวน้อยมาก และสนนราคาอาหารก็แพงกว่าปรกติ ถึงแม้เกาะฮาวายใหญ่จะส่งออกโคเนื้อในปริมาณมาก แต่เนื้อบนเกาะก็ราคาแพง เพราะ แทบจะไม่มีโรงฆ่าสัตว์เลย เรียกว่ามีเท่าไหร่ก็คงส่งออกเกือบทั้งหมด

จบแล้วสำหรับเวลาแห่งความสุขบนเกาะ เป็นเรื่องธรรมดาที่อะไรที่สวยงามประทับใจจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป

Wednesday, February 10, 2010

Hawaii – day 7

Volcano day

วันที่รอคอยมาถึงแล้ววันนี้เราไปเที่ยวชมภูเขาไฟ เริ่มตั้งแต่เวลาเจ็ดโมงเช้า จนถึงห้าทุ่มคืนนี้

เกาะฮาวายใหญ่ (Hawaii or the big island) เป็นเกาะที่เกิดจากหินลาวาพ่นมาจากภูเขาไฟ 5 ลูก คือ Kohala ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ตายแล้ว Mauna Kea เป็นภูเขาไฟที่กำลังหลับไม่แอ็กทีฟมาประมาณ 4,500 ปีแล้ว ส่วนอีกสามภูเขาไฟที่เหลือยังแอ็กทีพอยู่ คือ Hualalai, Mouna Loa และ Kilauea ที่เราจะไปดูวันนี้

เพราะหินลาวาที่ไหลมาจากภูเขาไฟทุกปี เกาะฮาวายใหญ่จึงมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกปี ว่ากันว่าพื้นที่งอกปีหนึ่งประมาณ 6 สนามฟุตบอลได้

เรามารอรถที่ร้านกาแฟกลางศูนย์การค้าแห่งหนึ่งตั้งแต่ก่อนตะวันขึ้น เห็นภูเขาไฟ Hualalai ชัดเจนกว่าตอนตะวันขึ้นแล้ว เพราะแสงอาทิตย์กระทบกับเขม่าภูเขาไฟ Kilauea ที่กำลังคุกรุ่นอยู่และปกคลุมทั่วเกาะ ทำให้ฟ้าไม่กระจ่างมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา



รถออกจากเมืองโคน่าซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะเจ็ดโมงเช้า ตัดผ่านเขตภูเขาไฟ Mouna Kea กลางเกาะเพื่อผ่านไปยังฝั่งตะวันออก ภูเขาไฟ Mouna Kea แปลว่าภูเขาสีขาว ที่เรียกอย่างนั้นเพราะยอดของมันมักจะปกคลุมด้วยหิมะ แต่ช่วงนี้ไม่มีหิมะเราจึงไม่เห็น

บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ฟาร์มแรกของเกาะชื่อ Parker ranch ซึ่งเลี้ยงวัวส่งออกเป็นสำคัญ



พอเข้าเขตเมือง Hilo เมืองใหญ่ของฝั่งตะวันออก เราแวะที่ถ้ำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุโมงค์ลาวาชื่อ Kaumana Cave Lava Tube เป็นอุโมงค์ลาวาจากภูเขาไฟ Mouna Loa เกิดในปี 1881 ซึ่งผนังอุโมงค์ด้านบนเปิดออก ทำให้สามารถเดินลงไปเดินดูภายในอุโมงค์ได้



จากนั้นเราก็ขับรถผ่านเมือง Hilo เพื่อไปยังอุทยานภูเขาไฟ ซึ่งอยู่ในเขตภูเขาไฟคิลาเวีย หรือ คิลาวียา (Kilauea) ซึ่งถือเป็นภูเขาไฟที่แอ็กทีฟมากที่สุดในโลก มันเริ่มพ่นลาวามาตั้งแต่ปี 1983 จนป่านนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สร้างที่ดินเพิ่มให้แก่เกาะมากมาย



เราเริ่มจากจุดชมวิวใกล้สำนักงานอุทยาน เห็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่มีควันสีขาวพุ่งขึ้นตลอดเวลา ภูเขาไฟอยู่ทางใต้ของเกาะ เมื่อควันนี้ลอยไปทางเหนือของเกาะ มันจึงทำให้เกาะขมุกขมัวมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เมื่อถ่ายรูปแล้วฟ้าจึงไม่ใสไง



จากนั้นเราก็แวะไปเดินเที่ยวอุโมงค์ลาวาเธอร์สตัน (Thurston Lava Tube) ซึ่งต้องเดินผ่านป่าเฟิร์นต้นยักษ์ เป็นป่าดิบชื้น



พอถึงอุโมงค์ ส่วนที่เดินได้เขาติดไฟไว้ภายในด้วย ทำให้เดินสะดวก น่าทึ่งมากเลย ไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งหินลาวาร้อน ๆ จะไหลผ่านอุโมงค์นี้



จบจากการเดินอุโมงค์ เราไปยังชายฝั่งตอนใต้ของเกาะ พื้นที่ใหม่ที่เกิดจากหินลาวาไหลมารวมกัน หินบางส่วนพังทะลายลงน้ำ เป็นหน้าผาชัน มีคลื่นขนาดใหญ่กระทบฝั่งดังคลืน ๆ



บางส่วนพังทะลายไปบ้าง แต่เหลือเป็นเสาหินที่ไม่รู้จะพังลงไปเมื่อไหร่ เขาเรียกจุดนี้ว่า Holei Sea Arch



สิ่งที่มหัศจรรย์แก่สายตาเราคือเรายืนอยู่บนทุ่งหินลาวาที่แข็งตัวแล้ว มองไปทางไหนก็เห็นแต่หินสีดำ มีพืชแซมขึ้นเป็นบางส่วน



ส่วนที่หินแตก เราสามารถเห็นชั้นต่าง ๆ ของหินลาวา ที่มีแร่เหล็กปนอยู่ก็จะออกสีแดง



บางส่วนเห็นเป็นคลื่นหิน ทำให้สามารถบอกได้ว่าทิศทางการไหลของมันไปทางไหน



เราว่าต้องไปเห็นเองพื้นที่หินสีดำตัดกับฟ้าสวย เคยเป็นหินเหลวร้อน ๆ ไหลมาจากใต้พิภพ และเราก็ได้ยืนอยู่ตรงนั้น เห็นมัน สัมผัสมัน ถ้าไม่หัศจรรย์ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว


หลังอาหารกลางวันที่นี่ เราออกเดินทางต่อไปเพื่อแวะชมไอน้ำ (Steam vents) ที่เกิดจากน้ำฝนไหลลงใต้ดินแต่โดนความร้อนของหินภูเขาไฟทำให้เกิดเป็นไอน้ำผุดมาจากพื้นดิน บริเวณนี้มีไอน้ำผุดอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะในป่า


หรือหุบเขาแบบนี้ เป็นทุ่งไอน้ำสวยงาม


บริเวณนี้ยังมีกล้วยไม้ป่าขนาดประมาณ 2-3 เซ็นติเมตร สีชมพูปนม่วงอยู่ทั่วไป



จริง ๆ แล้วทัวร์ภาคเช้าจะจบลงที่การไปเที่ยวน้ำตก แต่เพราะเราต้องไปรวมตัวกับทัวร์ภาคค่ำเราเลยไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตก ทัวร์พาเราไปจุดนัดพบ เป็นสวนญี่ปุ่นในตัวเมือง Hilo เกาะฮาวายมีอิทธิพลของญี่ปุ่นอยู่มาก



ทัวร์ภาคบ่ายวันนั้น เราได้แวะไร่ถั่วแมกคาเดเมีย เพื่อทานอาหารเย็น และชิมผลไม้จากในสวน รวมซื้อของฝากด้วย ที่ไร่มีภูมิประเทศที่น่าชมทีเดียว


ตกค่ำเราไปเดินชมหาดที่โดนหินลาวาไหลมาถมจนหาดหายไปหมด และเดินชมภูเขาไฟยามค่ำคืน ที่เห็นแสงเรื่อ ๆ จากลาวาร้อน ๆ น่าเสียดายที่มันมืด ถ่ายรูปไม่สวย ก็เลยไม่มีรูปมาให้ชม อันนี้ต้องไปดูเองจะรู้ว่ามันน่าตื่นตามาก

Monday, February 08, 2010

Hawaii – day 6

Golf day

วันนี้วางแผนไว้ว่าจะไปตีกอล์ฟ จองไว้เวลาสิบเอ็ดโมงเช้า ก็เลยได้เถลไถลเล่นอินเตอร์เน็ทอยู่ที่คอนโด กว่าจะออกไปก็เก้าโมงครึ่ง สนามกอล์ฟอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร่ แต่ต้องขับรถขึ้นเขา ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงได้

สนามกอล์ฟชื่อสนาม Makalei ตั้งอยู่บนไหล่ภูเขาไฟ Haulalai และอยู่เหนือระดับน้ำทะเลระหว่าง 1800 – 2850 ฟุต วันไหนฟ้าเปิดจะมองเห็นวิวทะเลหรือเกาะ Maui ที่อยู่ไม่ไกลออกไป สวยมาก แต่เพราะควันเขม่าจากภูเขาไฟ Kilauea ที่ครุกรุ่นมาตลอดสองเดือนแล้ว วันนี้วิสัยทัศน์จึงออกมัว ๆ



สนามนี้มีนกป่าอาศัยอยู่เยอะแยะ เท่าที่เห็นมีนกยูงเป็นร้อย ไปตีหลุมไหนก็เจอ มันไม่ค่อยกลัวคนด้วยสงสัยจะคุ้นกับนักกอล์ฟทั้งหลาย มากันได้ทุกวัน

นกยูงตัวผู้สีสวยกว่าตัวเมีย มีแพนหางสีสด



บางตัวรำแพนให้ดูด้วย หันหน้าให้ดูขนสีสวยสด



หันหลังให้ดูขนอ่อนสีน้ำตาลข้างใน เขาว่าถ้านกยูงรำแพนให้เห็นจะโชคดี สาธุ ขอให้จริงเถอะ



นกยูงตัวเมียสีออกน้ำตาล ไม่มีแพนหางอันยาว ถึงหัวจะออกสีเขียว ๆ แต่ก็ยังสวยไม่เท่าตัวผู้ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม



เที่ยง ๆ เริ่มหิวรถขายอาหารที่นี่มี Spam Musubi เป็นข้าวห่อสาหร่ายยัดไส้สแปม ซึ่งเป็นอาหารเช้าของคนบนเกาะ ก็เลยสอยมาลองกินดู อร่อยใช้ได้ เพราะสแปมรสออกเค็มกินแล้วเข้ากันกับข้าวญี่ปุ่น สนามกอล์ฟที่นี่ใจดีมีกาแฟให้ดื่มฟรีด้วย



บางหลุมเราจะเห็น Erckel’s Francolin ส่วนใหญ่จะเป็นตัวพ่อแม่กับลูกเล็ก อยู่กันเป็นครอบครัว



หลุมสิบสี่ เห็นฝูงไก่งวงป่า หลบอยู่ใต้ต้นไม้ มีประมาณหกตัวเห็นจะได้



ตีกอล์ฟเสร็จบ่ายสามโมง ยังพอมีเวลา เลยแวะไปนอนเล่นที่ Kau Beach อีกที เพราะไม่ไกลกันนัก ขับรถแค่ประมาณสิบห้านาทีได้ ปรกติก็เตรียมชุดว่ายน้ำและอุปกรณ์นั่งเล่นชายหาด เช่น เก้าอี้ผ้าใบ เสื่อ น้ำและของขบเคี้ยวไว้ท้ายรถอยู่แล้ว ก็สบายไป ไปไหน ไปกัน ไม่หวั่นเลย



ที่หาดยังคลื่นแรงเหมือนเดิม ตกเย็นคนเริ่มทะยอยกลับ เช่นเดียวกับฝูงนก Gray Francolin ที่เดินกลับรังผ่านหน้าเรา แต่มันเดินเร็วมาก ชักภาพแทบไม่ทันแน่ะ



อาหารเย็นวันนั้นเหรอ เราแวะที่ซุปเปอร์มาเก็ตแล้วหาซื้อ ยำปลาทูน่า (Tuna Poke) ยำปลาหมึกยักษ์ (Octopus Poke) และยำสาหร่าย เป็น Poke night เลยวันนั้น ต้องสารภาพว่ากินแกล้มกับแชมเปญอร่อยดีจัง

Saturday, February 06, 2010

Hawaii – day 5

Lu’au dinner

วันนี้โปรแกรมที่วางไว้คือไปกินอาหารสไตล์ฮาวายพร้อมโชว์ แต่กว่ามันจะเริ่มก็สี่โมงครึ่งแน่ะ อย่ากระนั้นเลยไปขับรถเที่ยวดีกว่า ตัดสินใจเลือกเส้นทาง North Kohala drive ขับไปทางเหนือของเกาะ

การขับรถบนเกาะไม่ยากเลย เพราะมีเส้นทางสายหลักไม่กี่เส้น ส่วนใหญ่ก็วนรอบเกาะ บ้านเรือนผู้คนก็อยู่กระจายเป็นหย่อม ๆ




พื้นที่เหนือสนามบินโคน่าเป็นต้นไป เป็นหินภูเขาไฟที่ไหลมาจากภูเขาไฟ Hualalai ที่ยังแอ็กทีฟอยู่ มีหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ เราแวะที่จุดชมวิวจุดหนึ่ง เห็นฝูงแพะป่ามาเดินอวดโฉมพอดี โชคดีจัง



ก่อนที่ทางหลวงสาย 19 จะหักเลี้ยวขวาสักสิบนาที มีทางเข้า Hapuna beach state park เป็นหาดที่ต้องแวะ เพราะมีหาดทรายขาวกว้าง เป็นที่นิยมมาพักผ่อนกัน



ใช้เวลาเล่นน้ำอยู่หาดนี้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง จึงเดินทางต่อไป แต่แวะทานอาหารร้านดังก่อนเปลี่ยนเส้นทางจากสาย 19 เป็นทางหลวง สาย 270 เพราะถนนสายหลักเป็นถนนเลียบชายฝั่งและอยู่เหนือระดับน้ำทะเล ทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงาม



แม้เราจะขับรถ แต่ก็ยังเห็นปลาวาฬพ่นน้ำอยู่เป็นระยะ ๆ บางตัวก็กระโดดขึ้นมาเหนือน้ำล่อหูล่อตาดีนัก เสียแต่ว่าข้างทางไม่ค่อยมีที่จอดรถ ก็ได้แต่แอบเหล่ไปตลอดทาง

ตอนเกือบเหนือของเกาะ เป็นพื้นที่ปศุสัตว์ที่สำคัญ มีไร่ปศุสัตว์อยู่ให้เห็นเป็นระยะ ๆ ทั้งเลี้ยงม้าและวัว บางไร่มีรั้วขาวเรียงขนานไปกับถนน สวยน่าชม



เหนือขึ้นไปอีก หินเริ่มเป็นสีแดง มีหญ้าและต้นไม้ขนาดย่อมขี้นประปราย หนทางเริ่มชันขึ้น เป็นพื้นที่เขตภูเขาไฟ Kohala ภูเขาไฟลูกแรกที่ก่อให้เกิดเกาะฮาวายใหญ่นี้ ด้วยหินลาวาที่ไหลมาจากปล่องภูเขาไฟลูกนี้นั่นเอง แต่ขณะนี้ภูเขาไฟลูกนี้ถือว่าไม่แอ็กทีฟแล้ว



เกือบสุดทางหลวงสาย 270 หนทางเริ่มเป็นป่าดงดิบ เห็นใบพลูด่างยักษ์ห้อยตามต้นไม้สองข้างทาง อากาศเริ่มเย็นลง แต่สุดทางหลวงสาย 270 มีจุดชมวิวที่ทำให้ทุกคนตาลุกวาว เขาเรียกว่าหุบเขาโพโลลู (Pololu Valley Lookout)



หุบเขาสูงล้อมรอบด้วยน้ำทะเล หาดทรายเป็นสีดำสนิท ฟองคลื่นสีขาวซัดสาดเข้าฝั่งเป็นระยะ ๆ



จากจุดชมวิวบนเขา เราสามารถเดินลงไปชายหาดได้ ใช้เวลาเดินลงเขาประมาณสิบห้านาทีได้ แต่ทางชันมาก มีหินเต็มไปหมด ต้องระวังทุกผีก้าว



อันนี้ต้องบอกว่าไม่ทราบมาก่อน วันนั้นเราใส่แค่ร้องเท้าแตะคีบ ชุดบิกินี่ใต้เสื้อยืดคลุมตะโพก แต่เพราะอยากลงไปเดินมาก ก็เดินลงไปอย่างนั้นแหละ ค่อย ๆ เดิน ก็พอเดินได้



เมื่อมาถึงข้างล่าง มันก็คุ้มค่าเหนื่อย ใกล้หาดเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีนกน้ำหาปลา (Black-crowned night heron) อยู่แถวนั้น



หลายคนมาปิกนิก บ้างมาเล่นกระดานโต้คลื่น แต่ที่นี่ไม่มีน้ำจืดให้อาบ อาหารก็ต้องหามาเอง เป็นการปิกนิกท่ามกลางธรรมชาติจริง ๆ แต่เราใช้เวลาอยู่ที่นั่นไม่นานเพราะต้องออกไปทานดินเนอร์คืนนี้ก็เลยต้องรีบกลับ เสียดายจัง





สี่โมงครึ่ง เราแต่งตัวสวย ไปเช็กอิน เพื่อทานอาหารเย็นแบบฮาวายพร้อมโชว์อันตื่นตา สถานที่จัดงานคือโรงแรม King Kamehameha’s โรงแรมซึ่งเคยเป็นที่ตั้งวังของกษัติย์ฮาวายชื่อเดียวกัน ทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง





ก่อนดินเนอร์มีค็อกเทลให้เลือกดื่ม Mai Tai เป็นค็อกเทลยอดนิยมบนเกาะ หรือจะเลือกไวน์ เบียร์ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็ได้ตามชอบใจ ในขณะเดียวกันก็มีการสอนให้สานปลาจากใบมะพร้าว การสอนรำฮาวาย การวาดลวดลายต่าง ๆ เป็นลายสักยันต์ปลอม ๆ สีสวย ตามส่วนของร่างกายที่ชอบ รวมทั้งมีดนตรีบรรเลงกล่อมตลอด




อาหารหลักที่สำคัญของมื้อนี้คือหมูอบ (Kalua Pig) ที่พ่อครัวเตรียมการและอบมาหลายชั่วโมง ถึงเวลาเอาหมูออกจากเตาอบ เขาก็เชิญชวนให้ทุกคนได้ชม



ก่อนอาหารมีการโชว์กษัตริย์ออกงานรับแขก อาหารมื้อนี้สมมติว่าเป็นอาหารมื้อที่กษัตริย์ทรงเลี้ยงรับรองแขกเมือง



อาหารมื้อนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ อาหารที่เป็นแบบฮาวายคือเผือกบด (Poi) ยำปลาดิบ (Poke) ซัลซ่าปลาซัลมอน (Salmon Lomi) ไก่ปูเลฮู (Pulehu Chicken) หมูนึ่งใบบอน (Lau Lau) มันเทศ (Uala) เป็นต้น ที่เหลือเป็นอาหารทั่วไป อย่างสลัด มักกะโรนี เนื้อเทอริยากิ เป็นต้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่อาจไม่อยากลองอาหารท้องถิ่น



ระหว่างรับประทานอาหารมีการแสดงชาวเกาะให้ชม เป็นการแสดงที่น่าตื่นตา ตื่นใจมาก ๆ ทั้งแบบฮาวาย แบบตาฮิติ แบบนิวซีแลนด์ และ Samoa เรียกได้ว่าเป็นเวลาสามชั่วโมงที่ไม่น่าเบื่อเลย