Wednesday, February 10, 2010

Hawaii – day 7

Volcano day

วันที่รอคอยมาถึงแล้ววันนี้เราไปเที่ยวชมภูเขาไฟ เริ่มตั้งแต่เวลาเจ็ดโมงเช้า จนถึงห้าทุ่มคืนนี้

เกาะฮาวายใหญ่ (Hawaii or the big island) เป็นเกาะที่เกิดจากหินลาวาพ่นมาจากภูเขาไฟ 5 ลูก คือ Kohala ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ตายแล้ว Mauna Kea เป็นภูเขาไฟที่กำลังหลับไม่แอ็กทีฟมาประมาณ 4,500 ปีแล้ว ส่วนอีกสามภูเขาไฟที่เหลือยังแอ็กทีพอยู่ คือ Hualalai, Mouna Loa และ Kilauea ที่เราจะไปดูวันนี้

เพราะหินลาวาที่ไหลมาจากภูเขาไฟทุกปี เกาะฮาวายใหญ่จึงมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกปี ว่ากันว่าพื้นที่งอกปีหนึ่งประมาณ 6 สนามฟุตบอลได้

เรามารอรถที่ร้านกาแฟกลางศูนย์การค้าแห่งหนึ่งตั้งแต่ก่อนตะวันขึ้น เห็นภูเขาไฟ Hualalai ชัดเจนกว่าตอนตะวันขึ้นแล้ว เพราะแสงอาทิตย์กระทบกับเขม่าภูเขาไฟ Kilauea ที่กำลังคุกรุ่นอยู่และปกคลุมทั่วเกาะ ทำให้ฟ้าไม่กระจ่างมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา



รถออกจากเมืองโคน่าซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะเจ็ดโมงเช้า ตัดผ่านเขตภูเขาไฟ Mouna Kea กลางเกาะเพื่อผ่านไปยังฝั่งตะวันออก ภูเขาไฟ Mouna Kea แปลว่าภูเขาสีขาว ที่เรียกอย่างนั้นเพราะยอดของมันมักจะปกคลุมด้วยหิมะ แต่ช่วงนี้ไม่มีหิมะเราจึงไม่เห็น

บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ฟาร์มแรกของเกาะชื่อ Parker ranch ซึ่งเลี้ยงวัวส่งออกเป็นสำคัญ



พอเข้าเขตเมือง Hilo เมืองใหญ่ของฝั่งตะวันออก เราแวะที่ถ้ำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุโมงค์ลาวาชื่อ Kaumana Cave Lava Tube เป็นอุโมงค์ลาวาจากภูเขาไฟ Mouna Loa เกิดในปี 1881 ซึ่งผนังอุโมงค์ด้านบนเปิดออก ทำให้สามารถเดินลงไปเดินดูภายในอุโมงค์ได้



จากนั้นเราก็ขับรถผ่านเมือง Hilo เพื่อไปยังอุทยานภูเขาไฟ ซึ่งอยู่ในเขตภูเขาไฟคิลาเวีย หรือ คิลาวียา (Kilauea) ซึ่งถือเป็นภูเขาไฟที่แอ็กทีฟมากที่สุดในโลก มันเริ่มพ่นลาวามาตั้งแต่ปี 1983 จนป่านนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สร้างที่ดินเพิ่มให้แก่เกาะมากมาย



เราเริ่มจากจุดชมวิวใกล้สำนักงานอุทยาน เห็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่มีควันสีขาวพุ่งขึ้นตลอดเวลา ภูเขาไฟอยู่ทางใต้ของเกาะ เมื่อควันนี้ลอยไปทางเหนือของเกาะ มันจึงทำให้เกาะขมุกขมัวมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เมื่อถ่ายรูปแล้วฟ้าจึงไม่ใสไง



จากนั้นเราก็แวะไปเดินเที่ยวอุโมงค์ลาวาเธอร์สตัน (Thurston Lava Tube) ซึ่งต้องเดินผ่านป่าเฟิร์นต้นยักษ์ เป็นป่าดิบชื้น



พอถึงอุโมงค์ ส่วนที่เดินได้เขาติดไฟไว้ภายในด้วย ทำให้เดินสะดวก น่าทึ่งมากเลย ไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งหินลาวาร้อน ๆ จะไหลผ่านอุโมงค์นี้



จบจากการเดินอุโมงค์ เราไปยังชายฝั่งตอนใต้ของเกาะ พื้นที่ใหม่ที่เกิดจากหินลาวาไหลมารวมกัน หินบางส่วนพังทะลายลงน้ำ เป็นหน้าผาชัน มีคลื่นขนาดใหญ่กระทบฝั่งดังคลืน ๆ



บางส่วนพังทะลายไปบ้าง แต่เหลือเป็นเสาหินที่ไม่รู้จะพังลงไปเมื่อไหร่ เขาเรียกจุดนี้ว่า Holei Sea Arch



สิ่งที่มหัศจรรย์แก่สายตาเราคือเรายืนอยู่บนทุ่งหินลาวาที่แข็งตัวแล้ว มองไปทางไหนก็เห็นแต่หินสีดำ มีพืชแซมขึ้นเป็นบางส่วน



ส่วนที่หินแตก เราสามารถเห็นชั้นต่าง ๆ ของหินลาวา ที่มีแร่เหล็กปนอยู่ก็จะออกสีแดง



บางส่วนเห็นเป็นคลื่นหิน ทำให้สามารถบอกได้ว่าทิศทางการไหลของมันไปทางไหน



เราว่าต้องไปเห็นเองพื้นที่หินสีดำตัดกับฟ้าสวย เคยเป็นหินเหลวร้อน ๆ ไหลมาจากใต้พิภพ และเราก็ได้ยืนอยู่ตรงนั้น เห็นมัน สัมผัสมัน ถ้าไม่หัศจรรย์ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว


หลังอาหารกลางวันที่นี่ เราออกเดินทางต่อไปเพื่อแวะชมไอน้ำ (Steam vents) ที่เกิดจากน้ำฝนไหลลงใต้ดินแต่โดนความร้อนของหินภูเขาไฟทำให้เกิดเป็นไอน้ำผุดมาจากพื้นดิน บริเวณนี้มีไอน้ำผุดอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะในป่า


หรือหุบเขาแบบนี้ เป็นทุ่งไอน้ำสวยงาม


บริเวณนี้ยังมีกล้วยไม้ป่าขนาดประมาณ 2-3 เซ็นติเมตร สีชมพูปนม่วงอยู่ทั่วไป



จริง ๆ แล้วทัวร์ภาคเช้าจะจบลงที่การไปเที่ยวน้ำตก แต่เพราะเราต้องไปรวมตัวกับทัวร์ภาคค่ำเราเลยไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตก ทัวร์พาเราไปจุดนัดพบ เป็นสวนญี่ปุ่นในตัวเมือง Hilo เกาะฮาวายมีอิทธิพลของญี่ปุ่นอยู่มาก



ทัวร์ภาคบ่ายวันนั้น เราได้แวะไร่ถั่วแมกคาเดเมีย เพื่อทานอาหารเย็น และชิมผลไม้จากในสวน รวมซื้อของฝากด้วย ที่ไร่มีภูมิประเทศที่น่าชมทีเดียว


ตกค่ำเราไปเดินชมหาดที่โดนหินลาวาไหลมาถมจนหาดหายไปหมด และเดินชมภูเขาไฟยามค่ำคืน ที่เห็นแสงเรื่อ ๆ จากลาวาร้อน ๆ น่าเสียดายที่มันมืด ถ่ายรูปไม่สวย ก็เลยไม่มีรูปมาให้ชม อันนี้ต้องไปดูเองจะรู้ว่ามันน่าตื่นตามาก

No comments: