Wednesday, December 16, 2009

Oysters – กินหอยไม่ต้องต่อย

ครั้งแรกที่ได้กินหอยนางรมสด คือตอนไปบ้านเพื่อนที่สุราษฏร์ธานี เขามีธุรกิจเลี้ยงหอยนางรม จำได้ว่าคุณแม่และน้าของเขาต้องนั่งเอาฆ้อนต่อยหอยเสียงดังโป๊กป๊ากตั้งนาน กว่าจะได้หอยนางรมสดให้พอเลี้ยงเพื่อน ๆ ของลูก และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำ เพราะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็เป็นแฟนประจำของหอยนางรมสดมาตลอด



พอย้ายมาอยู่แคนาดา ก็มีโอกาสได้กินหอยนางรมที่เลี้ยงตามฝั่งตะวันออกของแคนาดา เช่น เกาะพีอีไอ บ่อย ๆ เพราะคนที่บ้านมีเหตุต้องไปที่เกาะนั้นบ่อย ๆ ถ้าเทียบกัน หอยนางรมสดบ้านเราเนื้อจะแน่นกว่าหอยนางรมฝั่งตะวันออกของแคนาดา รสชาติก็ไม่เหมือนกัน


การแซะหอยนางรม (Oyster Shucking)


ต่างจากเมืองไทย ที่นี่เขาไม่ต่อยหอยนางรมกัน เขาใช้มีดแซะ เพราะชอบกิน เราก็เลยต้องแซะให้เป็น วิธีการนั้นไม่ยาก แต่ต้องรู้ว่าหอยนางรมมีสองฝา ฝาด้านหนึ่งเป็นฝากระดอง(โค้ง) อีกฝาเป็นฝาเรียบ ด้านฝากระดองจะมีขนาดใหญ่กว่าฝาเรียบเล็กน้อย



เราต้องวางหอยด้านฝากระดองลง เวลาแซะแล้วน้ำจากตัวหอยจะได้มีที่อยู่ ถ้าวางด้านฝาเรียบลงน้ำมันจะไม่ขัง เสียของหมด เอามีดเสียบลงไปตรงด้านแหลมของหอย มันมีมีช่องเล็ก ๆ พอเสียบได้ กดมีดให้ลึกที่สุดจนมั่นคงดี แล้วค่อยพลิกมีดไปมาเพื่อดันฝาให้แยกจากกัน พอฝาแยกแล้วก็เอามีดสอดให้ติดฝาบนที่สุด ปาดฝานเนื้อหอยให้หลุดจากเปลือกด้านบนก่อน เอาเปลือกบนทิ้ง แล้วปาดฝานหอยให้หลุดจากฝาล่าง แต่ยังเก็บหอยไว้เสริฟในฝาล่างอยู่ วางบนน้ำแข็งป่นเสริฝแป๊ปเดียวก็เกลี้ยง



คนที่ประสบการณ์น้อย ๆ อาจต้องใส่ถุงมือ หรือใช้ผ้าขนหนูรองเพื่อไม่ให้ลื่นไถล โดนมีดเสียบมือ แต่คนที่มีประสบการณ์มาก ๆ ถ้ามั่นใจแล้วไม่ต้องใช้อุปกรณ์เหล่านั้นช่วยก็ได้ ก็เสี่ยงเอาหน่อยเวลามีดมันลื่น



เราชอบกินหอยนางรมสดมากกว่าสุกเพราะหลังจากเราทำให้มันสุกเนื้อมันจะเปลี่ยน ไม่ค่อยอร่อยเหมือนตอนมันดิบ ๆ


Oyster Shooter

เอาหอยนางรมสด 1 ตัว ใส่แก้ว Shooter เติมเหล้าอย่าง วอดก้า หรือ รัม เป็นต้น แต่วันนี้เราใช้ Cesar mix จะได้ไม่เมาเร็วเกินไป แล้วเติม ซ้อสพริกฝรั่ง (Tabasco sauce) จะบีบมะนาวนิดหนึ่งก็ได้ตามใจชอบ แล้วก็กระดกเข้าปากทั้งแก้ว



หอยนางรมดิบเสริฟกับเครื่องเคียงไทย อย่างน้ำพริกเผา หอมแดงเจียว หรือ น้ำจิ้มอาหารทะเล



หอยนางรมดิบเสริฟกับซ้อสพริกฝรั่ง (Tabasco sauce) บังเอิญที่บ้านมีทั้งสีเขียวและแดง



หอย 80 ตัววันนี้ใช้เวลาแกะเป็นชั่วโมง แบ่งกันกิน 4 คน เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย แป๊ปเดียวเกลี้ยง

Tuesday, October 27, 2009

บันทึกจากอังกฤษ 5 - Painshill Park

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552

วันสุดท้ายของทริปนี้ เราจะไปเที่ยวสวนเพนส์ฮิลล์กัน ถ้าเราไม่มาพักอยู่กับครอบครัว เป็นแค่นักท่องเที่ยวธรรมดา เราคงไม่รู้จักสวนนี้



สวนเพนส์ฮิลล์สร้างขึ้นช่วงปี 1738 – 1773 โดย Hon Charles Hamilton บุตรขุนนางผู้ใหญ่ของอังกฤษ เขาเป็นคนมีพรสวรรค์หลายด้าน ทำให้สวนนี้กลายเป็นสวนของยุโรปที่สวยงามมีเอกลักษณ์



เพราะแฮมิลตันมีเพื่อนที่มีอันจะกินหลายคน ได้มีโอกาสไปเที่ยวยุโรป (Grand Tour's of Europe) ถึงสองครั้ง มีความรู้เรื่องศิลปะเป็นอย่างดี



ปี 1738 เขาเริ่มกว้านซื้อที่ดินแถบ Painshill จนมีที่รวม ๆ กันกว่า 250 เอเคอร์ สร้างคฤหาสน์ มีสวนแบบบรรยากาศโรแมนติกขึ้นมา มีทั้งสระน้ำขนาดใหญ่ ต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ใบ มีทั้งสิ่งปลูกสร้างเพื่อเพิ่มความสวยงามให้แก่สวน ปี 1773 เงินหมด เขาต้องขายมันไป



ที่ถูกเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง จนภายหลังคฤหาสน์ถูกแยกไปจากสวน ขณะนี้มีการบูรณะตกแต่งสวนขึ้นมาใหม่ให้ใกล้เคียงกับสวนดั้งเดิมที่สุด เพื่อให้เป็นมรดกโลกต่อไป



เราใช้เวลาเดินเที่ยวเกือบสามชั่วโมงในสวน เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันสนุกสนาน ชมไม้ดอกไม้ใบสวย ๆ



กลางสวนมีสระขนาดใหญ่ มีนกและเป็ดน้ำเยอะแยะ




เป็ดอิยิปต์สีสวย (Egyptian Duck)



สิ่งปลูกสร้างที่เด่น ๆ ในสวย ก็เช่น Gothic Temple



Turkish Tent เอาไว้นั่งชมวิวสระกลางสวนสวย



Gothic Tower หอคอยไม่สูงมาก นับขั้นบันไดได้แค่ 199 ขั้น



Grotto เชื่อมเกาะสองเกาะในสวนเข้าด้วยกัน ลักษณะเป็นถ้ำหิน เพดานประดับด้วยแก้วคริสตัลส่งแสงระยับ แก้วถูกติดบนเพดานด้วยช่างฝีมือทีละชิ้น ๆ ขณะนี้ยังทำไม่เสร็จ ถ้าเสร็จจะสวยกว่านี้มาก



Ruined Abbey ซากวิหารใกล้หนองน้ำที่ดูขลังดี



ใกล้วิหาร มีสวนองุ่นเล็ก ๆ ที่เก็บไว้ทำไวน์ประจำทุกปี ไวน์นี้มีขายที่ร้านในสวนด้วย

Sunday, October 25, 2009

บันทึกจากอังกฤษ 4 - Hampton Court Palace

วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2552

วันนี้เราจะไปเยี่ยมชมพระราชวังแฮมป์ตันคอร์ท (Hampton court palace) อยู่ไม่ไกลจากบ้านที่เราพักอยู่นัก ขับรถประมาณ 40 นาทีก็ถึง จริง ๆ แล้วน่าจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ แต่เพราะถนนที่นี่แคบมาก ส่วนใหญ่มีแต่สองเลนเท่านั้น ทำให้ใช้เวลาขับนานมาก



พระราชวังแฮมป์ตันคอร์ทสร้างขึ้นโดย Thomas Wolsey ตั้งแต่ปี 1514 และมีการต่อเติมพระราชวังมาเรื่อย ๆ แต่นั้นมา



พอถึงปี 1529 เพราะเขาไม่สามารถโน้มน้าวพระสันตปปาเพื่อทำให้การแต่งงานของพระเจ้าเฮนรี่กับพระนางแคทารีนแห่งอารากอนกลายเป็นโมฆะได้ พระเจ้าเฮ็นรี่จึงปลดเขาออกจากตำแหน่งและแย่งชิงวังนี้มาเป็นของตัวเอง นับแต่นั้นเรื่องราวประวัติศาสตร์ ความรัก ความใคร่ต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นมากมายที่พระราชวังนี้ อันนี้ต้องไปหนังหรือหนังสือเรื่อง The other Boleyn Girl มาอ่าน จะได้ความรู้ส่วนหนึ่งด้วย



พระราชวังแฮมป์ตันคอร์ทประกอบด้วยพระราชวังหลักสองแบบ ที่สร้างต่างยุคกันคือพระราชวังอิฐสีแดงสมัยทิวดอร์ (Rose red brick Tudor Palace)



และพระราชวังสมัยบาโร๊ก (Baroque Palace) ที่มีสวนสวยอยู่รอบ ๆ



ส่วนของพระราชวังทิวดอร์มีจุดเด่นอยู่ที่ปล่องไฟประดับ ที่นับแล้วได้ทั้งสิ้น 241 ปล่อง ลวดลายสวยงาม มองแล้วไม่เบื่อ



เราเดินชมพระราชฐานของพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด (Henry VIII) ที่สวยงาม ท้องพระโรงประดับด้วยกระจกสีสวย เพดานสูงมีลวดลายสง่างาม



อีกทั้งฝาผนังตกแต่งด้วยผ้าทอลายซับซ้อนสวยงาม



ที่นี่มีละครสดให้ดูทุกวัน จัดเป็นฉากแต่งงานของพระเจ้าเฮ็นรี่ที่แปดกับแคเทอรีน พารร์ (Kateryn Parr) พระมเหสีคนที่หกและคนสุดท้าย



เราสามารถเดินดูครัวขนาดใหญ่ที่ทำอาหารให้แก่คนทั้งวัง ห้องหับที่ประทับต่าง ๆ ที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามเลิศหรู หรือเรียบง่ายหลายสไตล์



บางห้องมีภาพเขียนสวยงาม



บางห้องมีเครื่องลายครามสวย ๆ อย่าง แจกัน Delftware tulipiere ที่สวยงามและมีขนาดใหญ่ใบนี้



ในส่วนของพระราชวังแบบบาโร๊ก สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า James II มีหน้าต่างกลมสวยงาม



ล้อมรอบด้วยสวนสวยที่สร้างไม่เสร็จเพราะมีปัญหาเรื่องงบประมาณ



เรานั่งรถม้าชมสวนด้วย วันนั้นนักท่องเที่ยวไม่เยอะ เลยได้นั่งรถม้าเป็นการส่วนตัว เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นปนมาด้วย มีไกด์บรรยายประวัติของสวนและพระราชวังให้ฟังอย่างคร่าว ๆ ตลอดระยะเวลา 12 นาที



ที่สวนยังมีเรือนกระจกสำหรับเถาองุ่นอายุ 240 ปี มีลำต้นขนาดเท่าต้นไม้ ซึ่งยังคงออกผลดกต้องใช้เวลาประมาณสามอาทิตย์ในการเก็บเกี่ยวอีกด้วย



จบการเดินเที่ยววัง เราเดินมาทางสถานีรถไฟที่ต้องข้ามแม่น้ำเทมส์ ข้างหน้าของสถานีรถไฟเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและผับ มีแม้กระทั่งร้านอาหารไทย แต่ทริปนี้เราขอเว้นไปก่อน ตกลงเลือกร้านอาหารอิตาลี่ตั้งอยู่สุดแถว ร้านหรู อาหารอร่อย บริการดีมาก ๆ วันนั้นเราปิดท้ายอาหารกลางวันตอนบ่ายด้วยคาร์ปูชิโนถ้วยอร่อย เป็นการสิ้นสุดอาหารอิตาลี่ที่สมบูรณ์แบบ

Wednesday, October 21, 2009

บันทึกจากอังกฤษ 3 - London III

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2552

หลังอาหารเช้าวันนี้ตั้งใจจะไปดู ขบวนทหารม้า (Horse guards parade) เขามีพิธีนี้ทุกวัน เพื่อเปลี่ยนเวรรักษาการณ์ที่ Whitehall ซึ่งใช้เวลาเดินไปไม่ไกลจากโรงแรม แต่ไม่รู้ว่าเขาปิดถนนเพราะมีการวิ่งมาราธอน เลยไปไม่ทัน พอดีมีรูปมาจากเมื่อวานนิดหน่อย ตอนรอเขาเดินสวนสนามเปลี่ยนยามรักษาพระองค์ที่พระราชวังบักกิ้งแฮม



และได้ถ่ายรูปทหารม้าที่กำลังรักษาการณ์อยู่มาแทน ทหารม้านี้แต่งตัวเต็มยศเท่กว่าทหารรักษาพระองค์ที่พระราชวังบักกิ้งแฮมอีก



วันนี้อากาศขมุกขมัวเช่นเคย แต่เราจะไปลงเรือล่องแม่น้ำเธมส์ กับ City Cruises ที่ท่า Westminster ใกล้หอนาฬิกา ไปสุดที่ท่าเรือ Greenwich ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง



เรือออก เวลาประมาณ สิบโมงครึ่งไป ล่องผ่านตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ



เจ้าหน้าที่บนเรือบรรยายได้ตลกสุขสันต์ดี มีหัวเราะไปตลอดทาง แต่นักท่องเที่ยวที่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษก็มีเยอะ นั่งเฉย ไม่ขำ



เรือผ่านสะพาน Millenium Bridge มองเห็นหลังคาโดมของวิหาร St. Paul’s Cathedral อยู่ไกล ๆ นึกว่าสะพานนี้ทอดไปสู่วิหารโดยตรง



ผ่าน Tower Bridge ที่เรามาเมื่อวาน ข้าง ๆ เป็นที่ทำงานของเทศบาลเมือง ผู้บรรยายบอกว่าใช้เงินก่อสร้างไป 14 ล้านปอนด์ ออกมาเหมือนหมวกกันน๊อกบุบ ๆ



ไปสิ้นสุดที่เมือง Greenwich ที่เป็นเขตกำหนดเวลามาตรฐาน



เราแวะเดินไปดูตลาดที่นี่พักหนึ่งหาของว่างกินฆ่าเวลา ได้เจอคนไทยที่มาเปิดร้านขายอาหารจานด่วนที่นี่ด้วย



จากนั้นต้องรีบกลับเพราะจองเวลาเพื่อดี่ม Afternoon Tea กับทางโรงแรมไว้ตอนบ่าย 2

จากท่าเรือ Westminster มายังโรงแรมต้องใช้ทางเดินเรียกว่า Jubilee walkway ข้างสวนสาธารณะ St. James's Park มีต้นไม้ใหญ่ลำต้นเป็นตะปุ่มตะป่ำสวย ๆ และให้ความร่มรื่นตลอดทาง



ประวัติของการดื่มน้ำชายามบ่ายนั้นเนื่องมาจากสมัยก่อนคนที่อังกฤษเขากินแค่สองมื้อคือเช้ากับเย็น ระยะเวลาระหว่างมื้อมันก็ยาวนานเอาการอยู่ Anna, the 7th Duchess of Bedford จึงมีความคิดที่จะดื่มน้ำชาและของว่างยามบ่ายขึ้น เชิญเพื่อน ๆ มาดื่มด้วย เกิดความนิยมกลายเป็นธรรมเนียมของคนมีสตังค์ชาวอังกฤษไปเลย



ห้องอาหารที่เสริฟชายามบ่ายจัดอย่างสวยงามแต่นั่งสบาย ๆ มีคนเล่นเปียโนสด ๆ ให้ฟังตลอด ชุดชายามบ่ายประกอบด้วย แซนด์วิชหลากไส้ สโกน และอาหารหวานสีสรรสวยงาม สโกนนั้นกินกับ Clotted cream และแยม



ได้นั่งพักผ่อนจิบชาชมวิวของโรงม้าพระราชวังอยู่ชั่วโมงหนึ่ง สบายดีแท้

จากนั้นก็ไปชมโรงม้าของพระราชวังบักกิ่งแฮม เรียกว่า Royal Mews ก็ข้ามถนนจากโรงแรมไปก็ถึงแล้วแต่ทิ้งไว้ตั้งนานกว่าจะไปเยี่ยมชม อย่างที่เขาว่าใกล้เกลือกินด่างไง




ข้างในมีม้าสวย ๆ ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ก็พวกเขาเป็นม้าของพระราชินีนะสิ

รถม้าประจำราชวงศ์ซึ่งยังมีการใช้งานอยู่หลายคัน



ที่สวยและสง่าที่สุดคือ Gold state coach รถม้าชิ้นโบแดง



ที่ล่าสุดสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธทรงใช้ในงานเฉลิมฉลองครบรอบการครองราชสมบัติ 50 ปี




(เขาว่านั่งไม่สบายเลย ไม่นุ่ม)



จากนั้นก็ไปดู The Queen’s Gallery แสดงภาพวาด ของประดับบ้าน ของสะสมที่สวย ๆ และถ้วยชาม ที่สืบทอดกันมาของราชวงศ์อังกฤษ แต่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ

กลับห้องเหนื่อยเป็นตายเลย หวัดก็ยังไม่หาย

เย็นนั้นหลังจากจัดการกับของว่างที่ทางโรงแรมจัดมาให้แล้วเราก็ลงไปทานอาหารอินเดียใกล้ ๆ สถานีรถไฟวิกทอเรียไม่ไกลจากโรงแรมเลย อาหารอร่อยใช้ได้