Sunday, June 24, 2007

อิตาลี 6 – Rome 1

สองคืนสุดท้ายของทริปนี้เราใช้เวลาอยู่ที่โรม โดยนั่งรถไฟจากฟลอเรนซ์ไปกับเพื่อนแค่สองคน เนื่องจากไม่มีสารถีอิตาเลี่ยนสุดหล่อ ณ เมืองนี้เราต้องนั่งวางแผนเป็นอย่างดีก่อนออกจากโรงแรมในแต่ละวัน ว่าจะไปเที่ยวไหนบ้าง โดยนั่งศึกษาแผนที่อย่างละเอียด จะได้ไม่เสียเวลาหรือหลงทาง

โชคดีที่โรมมีรถไฟใต้ิดินและเราก็ได้ศึกษาล่วงหน้าว่าจะใช้เส้นทางใดและไปลงที่ไหน ตลอดเวลาสองวันกว่า ๆ ที่โรมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุขมาก

นอกจากจะเป็นเมืองหลวงของอิตาีลี่แล้ว โรมยังมีความสำคัญทางศาสนาคริสต์อีกด้วยเพราะเป็นที่ตั้งของพระราชวังวาติกันที่เป็นที่ประทับของสัตปปาทุกสมัยดังนั้นจึงเราจึงตั้งใจไป Saint Peter's Square in Vatican City เป็นแห่งแรก

ภายในจตุรัส Saint Peter's Square นี้เป็นลานกว้างล้อมรอบด้วยกำแพงโค้งสวยงาม ประดับด้วยรูปปั้นมากมาย ตรงกลางจตุรัสเป็นที่ตั้งของ Silent Witness ด้านติดกำแพงเป็นที่ตั้งของพระราชวังวาติกัน สาุเหตุที่ต้องเป็นลานกว้างก็เพื่อจะได้จุคนได้เยอะ ๆ เพื่อเวลาสัตปปาปรากฏตัว

การเข้าไปในพระราชวังก็คล้าย ๆ กับการเข้าไปในวัดของไทย ผู้หญิงต้องปกปิดร่างกายให้สุภาพ กางเกงขาสั้นเข้าไม่ได้ เสื้อแขนกุดต้องหาผ้าคลุมไหล่

ภายในมีทั้งห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ สถาที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา และศิลปะที่ประดิษฐ์โดยช่างศิลป์ชื่อดังของโลก เช่น Leonardo Da Vinci Raphael Giotto และ Botticelli.

ก่อนผ่านเข้าไปข้างในสังเกตเห็นสวิสการ์ด (Swiss Guard) ในเครื่องแบบสีสรรสดใส เป็นหนุ่มหน้าตาดีทั้งน้าน...

จากพระราชวังวาติกัน เราก็เดินไปบันไดสเปน (Spanish Steps) ซึ่งอยู่ที่จตุรัสสเปน บันได้นี้ถูกสร้างขึ้นมาเื่พื่อเชื่อมสถานทูตสเปนกับโฮลีซี (linking the Bourbon Spanish Embassy to the Holy See)

แดดเริ่มร่มลมเริ่มตก นักท่องเที่ยวนักกันเต็มบันได เราเดินขึ้นไปถึงด้่านบนสุดเห็นวิวสวยใช้ได้

จากนั้นก็เดินต่อไปยังน้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) ตอนนั้นเป็นเวลาหลัง 6 โมงเย็น
คนไม่ค่อยมากเหมือนตอนกลางวัน แต่ก็ยังถือว่าเยอะ แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดที่ทำให้เราคิดว่ามันเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกมาก ๆ เสียงน้ำพุไหลหลั่ง เห็นคนนั่งคุยกันเป็นคู่ ๆ อา..เสน่ิห์ิของอิตาลี่

อิตาลี 5 – San Gimignano

San Gimignano

เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขากลางทุ่ง Elsa Valley เต็มไปด้วยหอคอยที่เห็นได้เด่นชัดมาแต่ไกล หอเหล่านี้ถูกสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 และ 13 นับได้หลายร้อยปี UNESCO ได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกไปแล้ว


ตึกรามบ้านช่องเก่าแก่หลายร้อยปีแต่ผู้คนก็ยังอาศัยกันอยู่ เป็นบ้านเรานะป่านนี้ถูกรื้อถอนสร้างใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงแม้บ้านจะเก่าเขาก็ดูแลรักษากันเป็นอย่างดี เกือบทุกบ้านมีดอกไ้ม้ประดับตามประูตูหน้าต่าง ดูสดใสมีชีวิตชีวาดี

ในเมืองเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากันไม่เว้นวันหยุด มีจตุรัส (Piazza) อยู่ 4 แห่ง Piazza della Cisterna, Piazza Duomo, Piazza Pecori, และ Piazza delle Erbe เดินถึงกันหมด

รอบ ๆ เมืองเป็นกำแพงสูง สมัยโบราณเขาคงต่อสู้กันน่าดูนะ บอกแล้วว่าเืมืองนี้สร้างบนภูเขา ศัตรูกว่าจะบุกถึงเมืองต้องปีนเขาปีกำแพงกันเมื่อย เราเดินออกนอกกำแพงซึ่งมีทางเดินเลียบกำแพงด้านนอก วิวต่ำลงไปเป็นทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา ส่วนใหญ่เป็นไร่องุ่นที่เขาใช้ทำไวน์ บ้านเรือนหลังเล็ก ๆ อยู่กันห่าง ๆ สวยดีเหมือนกัน

เดินจนเหนื่อยเลยต้องหยุดกินเจลาโต อิ อิ..

Friday, June 22, 2007

อิตาลี 4 - Siena


Siena เป็นหนึ่งในเมืองสวยแห่งทุ่งทัสคานี่ (Tuscany) ตั้งอยู่บนเนินเขา 3 เนิน ล้อมรอบด้วยสวนมะกอกและไร่องุ่น Siena มีชื่อเสียงในเรื่องของการแข่งม้าประจำปีซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม และ 16 สิงหาคม นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งของหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ของยุโรปอีกด้วย

เราออกจากบ้านสายหน่ือย พอไปถึงก็หิวแล้ว เลยต้องหาอะไรทานกันก่อน เติมพลังเพราะเราต้องเดินเที่ยวชมเมืองกันล่ะ มื้อนี้เราสั่ง แฮมกับเมลอน (Prosciutto ทานกับ cantaloupe หรือ honeydew) มาเรียกน้ำย่อย ตามด้วยพาสต้าในทรัฟเฟิลซอส (Pasta with Truffle sauce) อร่อยมากมิเสียแรงดั้นด้นมา ทานอาหารอิตาเลี่ยนที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าที่อิตาลีจริง ๆ นะ
ภายในเมืองมีจตุรัส Piazza del Campo เป็นศูนย์กลาง ที่นี่เองที่มีการแข่งม้าประจำปี

ภายในจตุัรัสยังมีน้ำพุ Fonte Gaia ซึ่งถือว่าเป็นราชินีแห่งน้ำพุของ Siena เลยทีเดียว รอบ ๆ จตุรัสมีร้านอาหาร และบาร์เครื่องดื่มมากมาย


จากจตุรัส Piazza del Campo มีทางเดินออกไปทุกด้าน สูงต่ำตามทำเลพื้นที่ ส่วนใหญ่ปูอิฐและแคบเนื่องจากสร้างมาแต่สมัยโบราณ
เดินไปไม่ไกลกันมีโบสถ์ (Duomo) และโรงพยาบาลเก่า St Maria della Scala ซึ่งตอนนี้กลายเป็นศูนย์แสดงศิลปะไปแล้ว น่าเสียดายที่เขาปิดซ่อมแซม จึงไม่สามารถเข้าไปชมภายในได้



ทุกถนนมีร้านค้า ขายเสื้อผ้า รองเท้า สารพัด รวมทั้งร้านอาหารต่าง ๆ มีอยู่ร้านหนึ่งเอาพิซซ่าอันเบ้ิอเริ่มมาโชว์ไว้หน้าร้านเรียกคนเข้าได้โข เพราะน่ากินมาก.. เห็นด้วยมะ

Thursday, June 21, 2007

อิตาลี 3 – Venice


เวนิชเป็นเมืองทางทิศเหนือของอิตาลี ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายเกาะ เรียงรายในหนองน้ำ Venetian Lagoon ทางฝั่งตะวันออก เราไปถึงเวนิชตอนสาย ๆ ฟ้าหม่น ๆ ฝนเกือบตก ผู้คนเยอะแยะมากมาย หลั่งไหลมาทุกสารทิศ
หลังจากศึกษาแผนที่และคู่มือท่องเที่ยวแล้วเราก็เลือกลงเรือไปยังจตุรัสซานมาร์โค (Piazza San Marco) หรือ St. Mark's Square ก่อน จึงเลือกลงเรือให้ถูกสายจะได้ไปให้ถูกที่ไงล่ะ

นั่งเรือประมาณ 20 นาทีได้มั้ง ก่อนเดินไปถึง St. Mark's Square ต้องผ่านสะพานถอนใจ (Bridge of Sighs) ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมถึงคุก มีช่องหน้าต่างให้มองเห็นวิวข้างนอก เมื่อนักโทษข้ามสะพานนี้เข้าุคุกพวกเขาจะถอนหายใจกันเพราะจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันอีกนาน

St. Mark's Square เปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางของเวนิส ในบริเวณนี้ประกอบไปด้วย พระราชวังดอจ์ส (Doge's Palace) โบสถ์เซ้นท์มาร์ก (St Mark's Basilica) หอนาฬิกา และตึก Procuratie Vecchie ที่จตุรัสนอกจากมีผู้คนล้นหลามแล้วยังมีนกพิราบมากมายอีกด้วย

เราหาอะไรทานโดยการถามคนขายของแถวนั้นถึงร้า่นอาหารที่มีคนท้องถิ่นทานเยอะที่สุด เพราะจะได้ทานอะไรที่เป็นรสชาติของคนในท้องถิ่นจริง ๆ ถึงแม้จะเิิิดินไกลหน่อยก็คุ้มค่าเหนื่อย อาหารอร่อยและเป็นอะไรที่ไม่มีขายที่อื่น ในนั้นมีป้ายเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า ‘ถ้าคุณรีบ ร้านนี้ก็ไม่เหมาะกับคุณ’ เห็นแล้วขำ แต่คนขายเขาก็ไม่รีบจริง ๆ นะ
จากนั้นเราก็นั่งเรือต่อไปยังเมืองแห่งเครื่องแก้วมูราโน (Murano) มูราโนเป็นหมู่เกาะเล็ก ๆ น้อย หลายเกาะอยู่ใกล้กันและเชื่อมกันด้วยสะพานหลาย ๆ สะพาน ชมการเป่าแก้วสาธิต และหาซื้อเครื่องแก้วติดไม้ติดมือกลับบ้านถ้าคุณชอบ
ขากลับเราผ่านสุสานของเวนิช แม้แต่สุสานของเขาก็ยังดูดีเลย

อิตาลี 2 – Pisa และ La Spezia

วันนี้ฟ้ามืดครึ้ม ท่าทางฝนจะตก แต่เรามีโปรแกรมจะไปดูหอเอนพิซ่ากัน ต้องขับรถไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 2 ชั่วโมง เนอะมาเที่ยวอิตาลีถ้าไม่เห็นหอเอนพิซ่าก็มิน่าจะมาถึงนา


ผู้คนเยอะแยะ หารถจอดลำบากมาก เมืองนี้นอกจากหอเอนแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนในมากนัก บริเวณเดียวกันกับหอเอนมี cathedral และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ รวมกันเรียกว่า Campo dei Miracoli เดินไปถ่ายรูปไปได้แป็ปเดียวฝนก็หล่นจากฟ้า เลยต้องขอลาพิซ่ามาโดยจำนน



แวะทานข้าวกล่องที่เพื่อนทำมาจากบ้านเป็นข้าวยำแบบอิตาลีใส่เห็ดกระป๋อง ทูน่ากระป๋อง อติโชกกระป๋อง อะไร ๆ ก็มาจากกระป๋องหมด แต่ก็อร่อยดีนา ทานข้าวในกล่องพลาสติกที่พักริมทางข้างทางหลวง ฝนตกปรอย ๆ โรแมนติกดีจริง ๆ



จุดหมายต่อไปก็คือเมืองชายฝั่งตะวันตกค่อนตอนเหนือของอิตาลี ชื่อ La Spezia ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อขับผ่านไปอีกเพื่อไปชมอุทยานแห่งชาติ Cinque Terre ที่มีัทัศนียภาพอันสวยงามของฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน


Cinque Terre เป็นชายฝั่งหินและหน้าผาสูงมีความยาวประมาณ 18 กิโลเมตร มีหมู่บ้านเล็ก ๆ และฟาร์มองุ่นที่ใช้ทำไวน์กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ถ้าเราไม่ไปกับคนท้องถิ่นเราก็คงจะมองข้ามจุดเที่ยวจุดนี้ไปเสีย


เราจอดรถตรงหมู่บ้านสุดทาง เดินผ่านหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีสีสรรสวยงาม ที่ตอนนี้เปิดให้เช่าห้องค้างคืนก็หลายหลังคาเรือนอยู่ ทางเดินแถวนี้มีอายุเป็นพันปีเลยทีเดียวแต่ยังคงสภาพใช้งานได้



เราเสียค่าเข้าอุทยานแล้วเดินเลียบหน้าผาชมวิว คลื่นสีขาวสูงกระทบหน้าผาดังคลืน ๆ เสียดายที่พระอาิทิตย์ไม่ค่อยยอมทำงานวันนี้ มืดฟ้ามัวเมฆทั้งวัน ดีนะที่ฝนไม่ตกระหว่างที่เราเดิน ๆ กันอยู่




อันอุทยานนี้มีสิ่งปลูกสร้างปน ๆ ไปกับธรรมชาติอันสวยงาม มีรางรถไฟขนานไปตลอดชายฝั่ง จะนั่งรถไฟมาลงที่สถานีไหน หมู่้บ้านอะไรก็ได้ ได้มีความสุขกับธรรมชาติควบคู่ไปกับการว่ายน้ำ ดื่มไวน์เคล้าเสียงคลื่นก็น่าจะมีความสุขโขอยู่ สนใจลอง google คำว่า Cinque Terre ดูนะคะ



แค่นี้ก็หมดวันแล้วค่ะ ขับรถกลับบ้านอีก 4 ชั่้วโมง หลับเป็นตาย (มีต่อ)


อิตาลี 1 - Florence

สิงหาคม 2005

เดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่ชาวอิตาลี่ส่วนใหญ่หยุดงานกัน เพื่อนที่อยู่ที่นั่นได้ชวนเราไปเที่ยวตั้งหลายทีแล้วไม่มีโอกาสซะที ปีนี้เกิดมีเวลาเวเคชั่นเหลือ 1 อา่ิทิตย์ จึงตัดสินใจไปอย่างกระทันหัน จองตั๋วไม่ถึงเดือนแล้วไปเลย


นั่งเครื่องจากโตรอนโตไปโรมก่อน แ้ล้วต่อเครื่องไปฟลอเรนซ์ เนื่องจากบ้านเพื่อนอยู่ใกล้ฟลอเรนซ์ ตามแผนจะถึงฟลอเรนซ์ก่อนเที่ยง ที่ไหนได้วันเดินทางเกิดพายุฝนในโตรอนโตเครื่องดีเลย์ไปสองชั่วโมงกว่า ตกเครื่องที่จะต่อไปฟลอเรนซ์เสียนี่ เลยต้องนั่งแหง่วอยู่สนามบินที่โรมสองชั่วโมงเพื่อรอเครื่องเที่ยวต่อไป วันแรกกะว่าจะไปเที่ยวฟลอเรนซ์ให้่สะใจ เลยหดเหลือไม่กี่ชั่วโมง



บ้านเพื่อนอยู่ในเมืองพิสโตเอีย (Pistoia) ขับรถจากฟลอเรนซ์สักครึ่งชั่วโมงได้ เป็นเมืองเล็ก ๆ น่ารัก และเงียบสงบ เหมือนชนบทเมืองไทยเลยล่ะ ไปถึงเราก็ไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งเดียวในมืองนั้น ปั่นจักรยานไปสัก 5 นาทีได้ ตรงกันข้ามซุปเปอร์มาร์เก็ตมีร้านขายไอติมอิตาลีที่เรียกว่าเจลาโต (Gelato) เลยต้องกินซะหน่อย ติดใจในรสชาติ เราต้องกินเจ้านี่ทุกวันตลอดเวลาที่อยู่ในอิตาลีเลยล่ะ


ทำธุระอะไรเสร็จเรียบร้อย ตะวันบ่ายคล้อยเราก็ถือโอกาสไปชมเมืองฟลอเรนซ์กันซะหน่อย โชคดีที่สามีเพื่อนที่เป็นหนุ่มอิตาลีรูปงามช่วยเป็นสารถีให้ ไม่ต้องกางแผนที่ ไม่ต้องเสาะหาที่เที่ยว สบายไป


ฟลอเรนซ์ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน (Arno River) เคยเป็นเมืองหลวงของอิตาลีระหว่างปี 1865-1870 มีสถาปัตยกรรมสวย ๆ มากมาย ที่่ขึ้นชื่อก็เช่น รูปปั้นเดวิด ซึ่งตอนนี้ถูกจำลองไปวางหลายซอกหลายมุมของเมืองเลย อีกทั้งยังมี Piazza della Signoria Oltrarno หรือ Halls of History แล้วก็ Piazza della Signoria และสุดท้ายก็ Duomo ซึ่งเป็นโบสถ์อันสวยงาม

เสียดายที่ตะวันลาลับไปอย่างรวดเร็วถ่ายภาพได้ไม่เยอะเพราะแสงไม่พอ ก็ได้ภาพมานิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ ตกเย็นวันนั้นเราได้อาหารพื้นเมืองฟลอเรนซ์แสนอร่อย ถูกพวกในร้านนั่งจ้องตาไม่กระพริบ สงสัยว่าสองสาวสวยชาวเอเซียที่นั่งกับหนุ่มอิตาลีรูปงามพร้อมลูกน้อยอีกหนึ่งเนี่ยหลงมาจากไหนกันหนอ


อีกสองวันถัดมาเมื่อเรามีโปรแกรมไปเที่ยวเวนิชกัน กะไปเช้ัาเย็นกลับ เลยต้องตื่นแต่ไก่ยังไม่โห่นั่งรถเมล์เข้าฟลอเรนซ์เืพื่อจับรถไฟเที่ยวแรก ทีนี้เราเผื่อเวลาไปเดินดู Duomo ซึ่งเป็นโบสถ์ทำด้วยหินอ่อนงดงามเพราะเมื่อวันแรกไม่มีเวลาดู และเนื่องจากมันอยู่้ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าใดนัก เดินแค่ห้่านาทีก็ถึง เรียกว่าไม่ผิดหวังเลยเมื่อได้เห็นความละเอียดอ่อนของฝีมือช่างหินอ่อนชาวอิตาลี

Sunday, June 17, 2007

Kingston

Kingston

Kingston Ontario

สุดสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม เป็นวันหยุดยาวติดต่อกันสามวัน เพราะวันจันทร์เป็นวันขอบคุณพระเจ้า เล็ง ๆ ไว้ตั้งนานแล้วว่าอยากไปล่องเรือตามแม่น้ำ St. Lawrence ในเมืองKingston ก็เลยถือโอกาสไปซะเลย

Kingstonห่างจากโตรอนโตประมาณ 250 กิโลเมตรเห็นจะได้ คาดว่าน่าจะใช้เวลาในการขับรถสัก 2 ชั่วโมงกว่า ๆ เรือที่เราจะไปนี้ออกจากท่า 11.00 น. เขาให้ไปถึงก่อนเรือออก ครึ่งชั่วโมง เราก็เลยออกจากบ้านประมาณ 8.00 น. ขับรถไปตามทางหลวง 401 มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ตอนเช้าอากาศเย็นมาก มิหนำซ้ำลมยังแรงอีกด้วย เลยต้องเตรียมเสื้อกันหนาวกับถุงมือไปด้วย คิดว่าบนเรือต้องหนาวกว่านี้แน่นอน



คิงสตันเป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งของแคนาดา อยู่ตรงด้านทิศตะวันออกของทะเลสาบออนทาริโอจบกับแม่น้ำ St. Lawrence River และเป็นจุดเริ่มต้นของ Thousand Islands.คิงสตันเป็นเมืองหลวงเมืองแรกของแคนาดา แต่ด้วยเหตุที่เมืองมันเล็กไปหน่อยและง่ายกับการถูกโจมดีโดยอเมริกา เมืองหลวงจึงเปลี่ยนไปเป็นมอนทริออล โตรอนโต และ ออตวาในที่สุด เมืองหลวงย้ายคิงสตันก็ไม่ได้เจริญไปมากนัก ผู้คนก็ย้ายออกไป ทำให้กลายเป็นเมืองเก่าที่คงเสน่ห์ไว้ได้เป็นอย่างดี

ทางหลวงสาย 401 มีรถค่อนข้างเยอะ เป็นทางหลวงเชื่อมระหว่างเมืองใหญ่ ๆ โตรอนโตกับมอนทริออล เป็นต้น การขับรถไกล ๆ ในแคนาดามีดีหลายอย่าง ระหว่างทางก็มีสถานีบริการน้ำมัน และของว่าง รวมทั้งห้องน้ำให้ใช้บริการ ซึ่งก็สะอาดสอ้านพอใช้ ถึงแม้ว่าคนจะเยอะมากก็เถอะ เขาทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ อีกอย่างถ้าพ้นเขตเมืองมาแล้ว เห็นว่าการจราจรไม่แออัดมากนัก เราสามารถ ใช้ระบบ Cruise Control ได้ ตั้งความเร็วตามตัวเลขความเร็วจำกัดตามถนนที่เราขับแล้วก็คอยบังคับพวงมาลัยตามจำเป็นเท่านั้นเอง ไม่เมื่อยขาดี


ระหว่างทางสังเกตว่าใบไม้บางส่วนเริ่มเปลี่ยนสี ถึงจะยังไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็พอพักผ่อนสายตาได้บ้าง สีเหลือง สีส้ม สีแดง ของใบไม้ มีเสน่ห์มากทีเดียว

พอขับไปได้สักสองชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงทางออก # 615 – Sir John A. Macdonald ตามด้วย ถนน King St. ซึ่งเป็นถนนเลียบทะเลสาบ ขับไปเรื่อย ๆ จนถึงตัวเมือง พอผ่านศาลากลางประจำเมืองก็หาที่จอดรถได้เลย เพราะท่าเรืออยู่ตรงหน้าศาลากลางพอดี ค่าจอดรถก็ 2 เหรียญต่อชั่วโมง วันเสาร์จ่ายค่าจอดรถเต็มที่ได้ไม่เกิน 6 เหรียญต่อคัน นั่นคือจอดเกิน 3 ชั่วโมงก็จ่ายแค่นั้น

จากนั้นเราก็เดินไปเอาตั๋ว ซึ่งเราจองล่วงหน้าทางโทรศัพท์มาแล้ว บอกเขาแค่หมายเลข Confirmation เท่านั้นเอง เดินไปถึงที่เอาตั๋วก็ 10.45 นาที สายไปนิด แต่ไม่เป็นไร เป็นช่วงปลายฤดูล่องเรือแล้ว คนไม่เยอะ ไม่งั้นอาจตกเรือได้ เรือที่เราจะไปนี้ใช้เวลาล่องแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง ราคาผู้ใหญ่คนละ 18 เหรียญ รวมภาษีก็ 20 กับเศษ ๆ สตังค์ เขาให้ไปขึ้นเรือเลย เพราะใกล้เวลาออกแล้ว

บนเรือมีคนประมาณ 20 เศษ ๆ เอง จริง ๆ จุได้เยอะ แต่เพราะอากาศเย็นลงแล้ว และสัปดาห์นี้ก็เป็นสัปดาห์สุดท้าย หลังจากนี้ก็ล่องไม่ได้ เพราะเย็นมากไป ท้องฟ้าขมุกขมัว มีแดดเป็นพัก ๆ ก็ยังดีกว่าฝนตกนะ บนเรือมีสองชั้น ชั้นล่างกรุกระจก ไม่มีลมพัด มีโต๊ะ เก้าอี้ให้นั่ง มีเครื่องดื่มและของว่างขาย เราหนาวก็เลยสั่งชอกโกแลตร้อน ๆ มาดื่มหน่อย ไม่ร้อนอย่างที่คิด แค่อุ่น ๆ พอช่วยคลายหนาวได้นิดหน่อย

พอเรือเริ่มออกจากท่าเราก็ขึ้นไปชั้นสองซึ่งเปิดกว้าง มีหลังคาเป็นผ้าใบ ลมพัด เย็นมาก ต้องใส่เสื้อกันหนาว ถุงมือกันเต็มที่ มีเคาเตอร์ขายเครื่องดื่มแต่ไม่เปิด เราก็ยืนหลบเอา ลมพัดทางไหนก็ใช้เคาเตอร์เป็นที่กำบังเดินได้รอบ ๆ เลย ดีนะที่แดดส่องจ้า ช่วยได้ดีทีเดียวแหละ

Kingston's Islands & Harbour Cruise คือชื่อของทัวร์ที่เราเลือก มีการพาชมวิวที่สวยงามพร้อมคำบรรยายประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเกาะแก่งต่าง ๆ สถานที่ราชการ ที่คุมขังนักโทษ มหาวิทยาลัยชื่อดัง เรือรบเก่าที่นำมาเป็นโรงแรมแบบ Bed and Breakfast ป้อมปราการต่าง ๆ รวมทั้งหอประภาคารมีให้เห็นริมฝั่งเป็นระยะ คิงสตันเคยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของแคนาดามาก่อน จึงมีประวัติที่น่าสนใจทีเดียว น่าเสียดายที่รูปถ่ายออกมาไม่ค่อยชัดเพราะไกลไปหน่อย

กลางแม่น้ำเรือผ่านหนุ่มกล้า มาเล่นวินด์เสริฟอยู่คนเดียว จริง ๆ ก็ดีไม่น้อย ไม่เกะกะ เหมือนเป็นแม่น้ำส่วนตัวเลยนะ

สรุปแล้วเราเป็นคนเดียวที่อยู่ชั้นสองมองวิวตลอดเวลา 90 นาที คนอื่น ๆ ขึ้นมาดูและ ถ่ายรูป แป๊ป ๆ ก็กลับลงไปเพราะทนหนาวไม่ไหว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เราชอบแดดมาก ๆ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่กลัวดำเหมือนตอนอยู่เมืองไทยเลย ยิ่งอากาศเย็น ๆ อย่างนี้ยิ่งชอบ



กลับมาถึงฝั่ง 12.30 น. ไม่ขาดไม่เกิน ขึ้นฝั่งก็หิวโซเลยทีเดียว ต้องหาอะไรทานซะหน่อย เลยเลือกร้าน Lone Star เป็นอาหารสไตล์ TexMex (Texas-Mexican) มีข้าวโพดอบกรอบ (Corn chip) กะซัลซ่า (Salsa) ให้ทานเรียกน้ำย่อย ฟรี ๆ ไปก่อน เราสั่งอาหารว่างรวมมิตรสำหรับสองคน มาประเดิม ตามด้วย Steak Sandwich กับ Fajitas กินเยอะไปหน่อย เลยอิ่มซะ

หลังอาหารเราถือโอกาสเดินเล่นซะหน่อย ทราบว่าวันเสาร์เขามีตลาดนัดเกษตร Farmer Market ก็ว่าจะหาทางไปดู เดินผ่าน ศาลากลาง และบริเวณท่าน้ำอันสวยงาม ซึ่งก็มีอยู่แค่นี้เองแหละ เมืองมันเล็ก ๆ มีหัวจักรรถไปเก่า ๆ เอามาประดับบริเวณด้วย ไปอีกไม่กี่ก้าว หลังศาลากลาง ข้าง ๆ โบสถ์ St. Georges ประจำเมือง ก็มีตลาดนัดเล็ก ขายพวก ผัก ผลไม้ รวมทั้งเครื่องหัตรกรรมเล็ก ๆ น้อย มีร้านเป็นเพิง เล็ก ๆ อยู่ไม่เกิน 20 ร้าน ผ่านร้านขายเครื่องหนังเป็นพวกถุงมือ ผ้าพันคอ และหมวกดูเป็นชาวบ้านดี แต่สีไม่สวย เลยอนุญาตไม่ซื้อ แต่เห็นเนื้อแห้ง – Jerky ทำจากเนื้อควายไบสัน ดูแปลกดีเลยซื้อมาทานเล่นซะปอนด์หนึ่ง เท่านั้นเอง

เวลาล่วงไปเป็นบ่ายสองกว่า ๆ ต้องกลับบ้านแล้ว Kingston เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับมาเที่ยวไปกลับภายในหนึ่งวัน เมืองเล็ก มีเสน่ห์ดีนะ ถ้าไม่ชอบนั่งเรือ จะขับรถเที่ยวไปรอบ ๆ ก็ได้ ถ้าจะมานั่งเรือ เขามีบริการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม เสาะหา Thousand Island Cruise ก็จะมีข้อมูลให้อ่านเยอะแยะเลย