Friday, December 26, 2008

กิจกรรมตอนหน้าหนาว

หน้าหนาวที่โตรอนโตเนี่ยอุณภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียส เมื่ออากาศหนาวอย่างนั้น โอกาสที่จะทำกิจกรรมกลางแจ้งระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ก็จะน้อยกว่าตอนหน้าร้อน



ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าผู้คนจะจับเจ่าอยู่แต่ในบ้านเพียงอย่างเดียว กิจกรรมหรือกีฬาที่พอจะทำได้ตอนหน้าหนาวก็ยังพอมีให้เลือกอยู่บ้าง เช่น การไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในอาคารทีเรียกว่าอารีน่า (Arena) ซึ่งเป็นอาคารหลังคาสูง ตรงกลางเป็นสนามฮ็อกกี้ รอบ ๆ เป็นอัฒจรรย์สำหรับผู้ชม ซึ่งก็จะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมาใช้บริการทั้งในการเล่นฮ็อกกี้และสเก็ตน้ำแข็ง โดยแบ่งเวลาเป็นช่วง ๆ ไป



ที่ศาลากลางโตรอนโตมีสระน้ำขนาดใหญ่ ในฤดูหนาวเขาเอามาทำเป็นลานสเก็ตเปิดให้ประชาชนโดยทั่วไปมาเล่นฟรี ๆ บางเมืองอย่างมอนทรีออล เมื่อน้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งเขาก็เอามาทำเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งตามธรรมชาติกลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในโลกไปเลย



ถ้าไม่ชอบสเก็ตก็ไปเล่นสกีได้ อาจเป็นสกีลงเนิน(Downhill or Alpine skiing) ที่สกีที่ราบ (Cross country skiing) สนามสกีมีให้เลือกทั้งของรัฐและเอกชน ทั้งนี้เทศบาลเมืองโตรอนโตได้นำเอาสวนสาธารณะบางแห่งที่มีเนินมาทำเป็นสถานที่เล่นสกีลงเนิน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขับรถไกล ๆ ไปสกีนอกเมือง โดยเฉพาะมือนักสกีมือใหม่ ก็ใช้สถานที่เหล่านี้ฝึกซ้อมไปก่อนจนคล่อง ค่อยออกไปเล่นสกีตามเนินเขาที่สูงกว่านี้ทางตอนเหนือของจังหวัด



สำหรับผู้ไม่เคยเล่นสกี หรือมือใหม่ยังไม่อยากเก่ง เขาก็มีอาจารย์ไว้สอนตามสถานที่เล่นสกี รวมทั้งมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เช่าด้วย ทั้งไม้สกี ไม้เท้า และรองเท้า สนนราคาไม่แพงเกินไปนัก



ส่วนสกีที่ราบก็เล่นได้ตาม Trial ที่เขามีให้ทั่วไป สกีอย่างหลังนี้สนนราคาถูกว่าสกีลงเนิน ลากไปตามทางสูง ๆ ต่ำ ๆ ทำให้ใช้พลังงานมากกว่าสกีแบบลงเนินอีกด้วย เอาไว้ออกกำลังกายลดน้ำหนักได้ดีนะ



ถ้าไม่อยากเล่นสกี อาจจะอยากลองสกีบอร์ดดูก็ได้ อย่างหลังนี้เป็นที่นิยมสำหรับเด็กรุ่นใหม่ อาจเป็นเพราะมันผาดโผนกว่ามั้ง คนแก่อย่างเราไม่กล้าลอง กลัวแข้งขาหักเสียก่อน

สำหรับผู้ที่ไม่ชอบกิจกรรมที่ใช้แรงและความสามารถเยอะ ช่วงหลังนี้รองเท้าหิมะหรือ snowshoes ก็เป็นที่นิยม รองเท้าหิมะมีรูปร่างคล้ายตะแกรงมีที่ล็อกรองเท้าด้านบน เวลาสวมก็แค่วางรองเท้าธรรมดาลงไปและล็อกให้เรียบร้อย เวลาเดินบนหิมะมันก็จะไม่จม ทำให้เดินได้ดีขึ้นกว่ารองเท้าธรรมดา เอาไว้เดินตามทางเดินในสวนสาธารณะหรือทุ่งกว้าง สูดอากาศบริสุทธิ์ในหน้าหนาว กลางทุ่งหิมะขาวโพลนและฟ้าสีใส



วันไหนอากาศดี ๆ แดดจัด ๆ ก็อาจจะออกไปเดินทางตามในสวนสาธารณะต่าง ๆ ที่เขาเปิดให้เดินได้ เพียงแค่ ใส่ถุงเท้า สวมรองเท้าบู้ธ ใส่เสื้อผ้ากันความหนาว หมวก ถุงมือ ตามอัธยาศัย เห็นนกหลากชนิด น้ำแข็งข้างทาง ต้นหญ้าแห้ง ๆ กลางหิมะสีขาวสวย แปลกตาไปอีกแบบ สำหรับเราแล้วมันดีกว่านังจับเจ่าอยู่กับบ้านหรือออกกำลังกายในสถานฟิตเนสอีกนะ

Saturday, December 06, 2008

Royal Ontario Museum – ROM

โรยัลออนทาริโอมิวเซี่ยม เรียกสั้น ๆ ว่ารอม ตั้งอยู่ในกรุงโตรอนโต เป็นมิวเซียมสำคัญสำหรับอารยธรรมโลกและประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในทวีปอเมริกาเหนือ และใหญ่ที่สุดในแคนาดา



มีสิ่งของที่แสดงกว่าหกล้านชิ้น ที่มีชื่อเสียงและนิยมดูกันก็เช่น ไดโนเสาร์ ศิลปกรรมของโลก ไม่ว่าจะเป็นของอัฟริกา เอเชีย หรือยุโรป รวมทั้งประวัิติศาสตร์ของแคนาดา เป็นต้น



พิพิธภัณฑสถานนี้ตั้งบนถนน Bloor Street ตัดกับ Avenue Road ในตัวเมืองโตรอนโต ไม่ไกลจากป้ายรถไฟใต้ดิน ทำให้ค่อนข้างสะดวกสำหรับผู้เ้ข้าชม แต่ถ้าจะขับรถไปเองก็หาที่จอดรถได้ง่าย ไม่ลำบาก



เราไปถึงพิพิธภัณฑสถานเวลาประมาณ 11.30 นาฬิกา คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แลกบัตรได้ตั๋วมาสองใบ ใบแรกสำหรับเขัาชมนิทรรศการเพชร และใบที่สองสำหรับพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ ที่เหลือ



ทางเข้าเดิมของพิพิธภัณฑ์สวยมาก ประตูโค้ง เพดานประดับแบบโมเสค



นิทรรศการเพชรจัดอยู่ชั้นสองใต้ดิน เขาห้ามถ่ายรูป ได้แต่เดินดู ธรรมชาิติวิทยาของการกำเนิดเพชร การทำเหมืองเพชร และเพชรสวย ๆ หรือ เก่าแก่ บางส่วน ทั้งที่เจียรนัยแล้วและยังไม่ได้เจียรนัย ดาราของงานนี้คือเพชรเจียรนัยที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกชื่อ The Incomparable Diamond หนัก 407 กะรัต


รูปไปลอกเขามาจาก Photo ©Roger Cullman
http://www.rogercullman.com/

จากนั้นเราก็ไปชั้นสองเพื่อไปดูไดโนเสาร์ มีโครงกระดูก ประวัติของไดโนเสาร์ หรือสัตว์ดึกดำบรรพ์หลายตัว ให้ดูและศึกษา



ถัดไปเป็นห้องแสดงนก ถ้ำค้างคาว ชีววิทยาของโลกไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่ สัตว์น้อย แมลง เป็นต้น


ชั้นสามเป็นการแสดงอารยธรรมโลก แบ่งเป็นโซน ๆ ตามภูิิมิศาสตร์ของโลก เราเห็นหน้ากากน่าสนใจจากเผ่าต่าง ๆ ในอาฟริกา




มัมมี่จากอียิปต์ อาวุธและรูปปั้นต่าง ๆ จากเอเชีย แผ่นแกะไม้สวย ๆ จากอินเดีย



เครื่องถ้วยชามจากยุโรป รูปปั้นและของใช้จากกรีก เป็นต้น




กลับลงมาชั้ืนหนึ่งเพื่อไปดูส่วนของจีนและญี่ปุ่น มีทั้งสิ่งปลูกสร้าง ข้าวของเครื่องใช้ รถลากสวย ๆ คานหามสวยงาม 4 ชั่วโมงผ่านไป ยังไม่ได้ไปดูชั้น 4 และ 5 แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว

Wednesday, October 15, 2008

The Falls in the Fall

หลังจากทำงานหนัก ๆ ติดต่อกันมาหลายสัปดาห์ และพอมีวันหยุดเหลืออยู่บ้าง ก็เลยลาพักผ่อนต่ออีกสองวันช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า หยุดสั้น ๆ อย่างนี้ ไปที่ไหนก็ไม่ดีเท่าน้ำตกไนแอการ่า เพราะใช้เวลาขับรถแค่เกือบ ๆ สองชั่วโมง มีที่สวย ๆ ให้ชมตลอดทาง


เนื่องจากไปเที่ยวน้ำตกบ่อย ๆ ไปเที่ยวนี้ก็ใช้เส้นทางเดิม แวะเที่ยวเมือง Niagara-on-the-lake ก่อน เพราะชอบดูสวนองุ่นข้างทาง บ้านสวย ๆ ในสวนองุ่น ในเมื่อเรามีเองไม่ได้ก็ต้องชมของชาวบ้านเขาแหล่ะนะ




แวะกินอาหารเที่ยงที่ห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง Niagara-on-the-lake ชมวิวท่าเรือสวย ๆ แล้วก็ขับรถไปน้ำตกโดยใช้ถนน Niagara Parkway ซึ่งก็ค่อนข้างแปลกใจปนตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าใบไม้แถบนี้จะเปลี่ยนสีแล้ว เลยตื่นตาตื่นใจไปกับใบไม้สีสวย ๆ ตลอดทางเส้นทางสายไวน์เส้นนี้



เมื่อเราแวะชมวิวที่จุดชมวิวข้างทาง รถโฟล์กสวาเก้นโบราณคันนี้ก็แวะมาจอดชมวิวกับเขาด้วย คนรุมกันถ่ายรูปมากพอ ๆ กับจุดชมวิวเลยทีเดียว ดูเอาเองนะว่าเท่หรือเปล่า



แวะชมนาฬิกาดอกไม้ คนก็เยอะเหมือนเดิม นั่งและยืนถ่ายรูปกันเป็นคู่ ๆ หรือเป็นกลุ่ม ๆ ตลอดเวลา



ข้าง Niagara Parkway มีสวนสาธารณะเป็นหย่อม ๆ ไว้ปิกนิก หรือนั่งเล่น นอนเล่น ตลอดทาง มีลู่ให้ปั่นจักรยานหรือเดินเล่น โดยตลอดด้วย ใบไม้ของต้นไม้ในสวนเหล่านี้เปลี่ยนสีเป็นสีส้ม แดง หรือเหลือง สวยงาม



แวะที่วังน้ำวน (Niagara Whirlpool) น้ำเชี่ยวเป็นสีเขียวอมเทาตัดกับไบไม้สีส้ม เป็นภาพที่น่าดูทีเดียว



เช็กอิน เรียบร้อย แอบไปเสี่ยงโชคที่คาสิโนเล็กน้อย โชคไม่เข้าข้าง เลยต้องรีบกลับ เดี๋ยวไม่มีเงินกินข้าว ภาพข้างบนเป็นลานจอดรถที่หอสภายลอน




ตอนเย็นเราไปทานอาหารที่หอสกายลอน (Skylon tower) มานี่ตั้งหลายที ไม่รู้สึกว่าอยากขึ้น ก็เลยขึ้นซะเลย ห้องอาหารเป็นแบบพี้นหมุน รอบหนึ่งใช้เวลา 1 ชั่วโมง คนเยอะ อีกทั้งมืดแล้ว วิวกลางคืนไม่ค่อยสวย อาหารก็งั้น ๆ แพงอีกด้วย


มาแถบไนอะการ่า ไม่ตีกอล์ฟ ก็ไม่ครบรสสิใช่มั้ย วันรุ่งขึ้นก็เลยไปออกรอบ วิวรอบ ๆ สนามกอล์ฟสวยมาก ภาพข้างบนเป็นคลองเล็ก ๆ ข้างสนามกอล์ฟ




โรงเก็บของของสนามกอล์ฟเขาล่ะ ด้านหลังเป็นเนินเขาไนอะการ่า (Niagara escarpment) เนินเขาเตี้ยแต่ยาวที่พาดผ่านอเมริกาและแคนาดา มีความยาวในออนทาริโอถึง 725 กิโลเมตร สูงสุดแค่ 335 เมตรเท่านั้น ช่วงนี้ต้นไม้บนเนินเขาเปลี่ยนสีสวยสดน่าดูชม



ตีกอล์ฟเสร็จก็ไปเดินเล่นเลียบน้ำตก คนเยอะเหมือนเดิม ภาพข้างบนคือน้ำตกอเมริกัน และน้ำตกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเล็ก ๆ ทางซ้ายมือ ปริมาณน้ำที่ผ่านสองน้ำตกนี้สู่แม่น้ำไนอะการ่ามีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์


น้ำตกเกือกม้าฝั่งแคนาดา มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 90 เปอร์เซ็นต์ พร้อมเรือเมดออฟเดอะมิสต์ที่พาคนชมน้ำตกในแม่น้ำ มีเสื้อกันฝนสีฟ้าให้ใส่กันเปียกทุกคน




ใครที่อยากสัมผัสละอองน้ำตก นอกจากทางเรือเมดออฟเดอะมิสต์ ก็ไปเดินหลังน้ำตก เขามีเสื้อกันฝนให้ใส่ เห็นเป็นสีเหลือง ๆ ข้าง ๆ น้ำตก ก็ขนาดเราเดินอยู่ข้างบนยังเปียกเลย




สายรุ้งหลากสี มีให้เห็นตลอดปี วันนี้เห็นถึงสองสายแน่ะ เสียดายถ่ายรูปออกมาไม่ดีเท่าไหร่



ตกเย็นเราไปทานอาหารอิตาเลี่ยนเจ้าประจำกลางเมือง อาหารอร่อย มีไวน์ให้เลือกเยอะ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนกิจประจำเสียแล้ว เพราะมาบ่อย ๆ รุ่งขึ้นก็ตื่นสาย ๆ แวะซื้อไวน์ผลไม้เจ้าอร่อยซะโหลหนึ่ง จริง ๆ แล้วไวน์เจ้านี้ก็มีขายในร้านเหล้าของออนทาริโอแหละ เพียงแต่มีไม่ครบรส ก็เลยต้องแวะซื้อถึงฟาร์ม ไวน์ผลไม้มีรสหวาน เอาไว้ดื่มหลังอาหาร ในขณะที่พวกผู้ชายเขาดื่มด่ำกับสก็อตช์วิสกี้บ่มนานรสเก่าแก่กัน ผู้หญิงก็โจ้ไวน์ผลไม้อร่อย ๆ


จบช่วงเวลาแห่งความสุขแถบน้ำตกแต่เพียงเท่านี้

Saturday, October 04, 2008

นั่งรถไฟชมวิว Credit Valley



ตั้งใจว่าจะนั่งรถไฟของ Credit Valley Explorer มาหลายครั้งแล้ว แต่พอจะไปทีไร จองตั๋วไม่ทันทุกที เพราะรถไฟเที่ยวเจ้านี้เป็นที่นิยมมาก ปีนี้เลยจองล่วงหน้าเกือบสองเดือนถึงได้ไปสมใจ รถไฟแบบนี้เป็นรถไฟเที่ยวชมวิวเรียกว่า Scenic Tours มีบริการตลอดปี พร้อมอาหารกลางวัน ช่วงเดือนตุลาคมนี้เป็นช่วงยอดนิยมเพราะเป็นฤดูใบไม้สวย



เราไปขึ้นรถที่เมือง Orangeville เมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโตรอนโต ขับรถจากบ้านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ตามกำหนดรถไฟออกเวลา 11.00 นาฬิกา แต่จริง ๆ แล้วออกหลังกำหนด 15 นาที



ตู้รถไฟสมัยเก่ามีอายุกว่า 50 ปีแล้ว หน้าต่างขนาดใหญ่เอาไว้ชมวิวโดยเฉพาะ ข้างในมีที่นั่งกว้างขวางสะดวกสบาย บนรถเสริฟน้ำชา การแฟ และน้ำผลไม้ เติมได้ตลอดเวลา อาหารกลางวันมีให้เลือกสองอย่างเป็นแซนด์วิชไส้แฮมกับชีส หรือแซนด์วิชไส้ไก่อบ ของหวานเป็นเค้กแครอท เสียดายวันนี้ฟ้าหลัว ถ่ายรูปออกมาสีหม่น ๆ ตะวันไม่เป็นใจเลย



ที่ Orangeville ไม่เห็นอะไรมากนอกจากตู้รถขนส่งสินค้าต่าง ๆ ระหว่างทางจึงเห็นเนินสูงต่ำ มีต้นไม้ที่ใบเปลี่ยนสีแล้ว หลากสีสันสวยงาม ต่ำลงมาเป็นหมู่บ้านเล็กกลางป่าใหญ่ หลายแห่ง เช่น Caledon Hills, Cataract, Forks of the Credit และ Inglewood เป็นหมู่บ้านตามลุ่มแม่น้ำเครดิต เขาถึงเรียกว่า Credit Valley Explorer ไงล่ะจ๊ะ



พื้นที่บางส่วนเป็นที่ราบ มีฟาร์มหลาย ๆ แห่ง ทั้งฟาร์มม้า และฟาร์มวัว ซึ่งอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ เห็นได้ชัดเจน



โรงนาเก่า ๆ ไม้เกือบผุพังจนหมดแล้วตั้งอยู่ท่ามกลางท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ ดูแล้วได้บรรยากาศของชนบทแคนาดา



บางทีก็ผ่านสะพานสูง เห็นฝั่งแม่น้ำเป็นผาสูงชัน และมีโรงผลิตไฟฟ้าำกำลังน้ำเก่า ๆ อยู่ที่หนึ่งด้วย



บ้านเรือนหลังใหญ่ของคนมีสตังค์ ด้านหลังเป็นเนินสูงมีใบไม้หลากสี ด้านหน้าเป็นทุ่งกว้างมีวัวและม้าวิ่งเล่นอยู่ในคอกล้อมด้วยไม้ ช่างเป็นมุมมองที่น่าดูจริง



เมื่อไปถึงสถานี Snelgrove ได้ระยะทาง 22 ไมล์ เขาก็หยุดแล้วย้ายหัวรถไฟมาไว้หลังขบวนเพื่อย้อนกลับทางเดิม ขากลับรถไฟแวะจอดทีสถานี Inglewood ให้เดินเล่นยืดแข้งยืดขาประมาณ 25 นาที เลยได้แวะดูร้านขายของที่ระลึกประจำหมู่บ้าน มีฟักทอง ต้นข้าวโพดและดอกคริสแซนติมัม ตกแต่งร้านเป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ร่วง



บ้านหลังหนึ่งเป็นสีฟ้าสด ตัดกับใบไม้สีส้มสวย



หลังนี้เพิ่งพ่นสีรั้ว เป็นสีขาวตัดกับหัวท่อดับเพลิงสีแดงสวย



ผ่านสนามกอล์ฟขนาดใหญ่ถึงสามสนาม หญ้าเขียวขจีงามตา ผ่านไปสามชั่วโมงเต็มก็กลับมาที่สถานนีเดิม ได้ระยะทาง 44 ไมล์ หรือประมาณ 70 กิโลเมตร



แวะไปเดินเล่น ๆ ที่ตัวเมือง Orangeville หน่อยหนึ่ง ค่อนข้างเงียบเหงา อากาศเย็น อุณภูมิประมาณ 15 องศาเห็นจะได้ มีโรงละครโอปร่าขนาดใหญ่เด่นอยู่กลางเมือง



รูปปั้นและแกะสลัก เรียงรายเป็นระยะ ๆ ทั้งข้างถนนและเกาะกลางถนน



บ่ายคล้อยมากแล้ว ก็ถึงเวลากลับบ้าน ใครไม่มีอะไรทำอยากไปเที่ยวตอนเช้าตอนเย็นก็กลับ อาจพิจารณาดูได้ค่ะ