Monday, June 30, 2008

Canadian Rockies – Day Three

วันนี้ตื่นแต่เช้า เราจะไปเที่ยวรอบเมืองจาสเปอร์กัน ที่แรกที่เราจะไปคือจุดชมวิว Hanging Valley ห่างจากตัวเมืองแค่ประมาณสิบนาที ที่นี่เราเห็นเทือกเขาวิสเลอร์ส์ (The Whistlers)




และภูเขาปิรามิด (Pyramid Mountain) ซึ่งสูงประมาณ 2766 เมตร โอบกอดเมืองจาสเปอร์



ขับรถอีกสองนาทีเพื่อแวะไปมาลีนแคนยอน (Maligne Canyon) เป็นที่ที่แม่น้ำมาลีนตัดผ่านภูเขาหินเป็นโตรกสูงถึง 50 เมตร เหมือนออบหลวงที่เชียงใหม่




รอบ ๆ เห็นมีกุหลาบป่า (Prickly Rose) สีชมพูมีเกสรสีเหลืองตัดกันสวยดี



ออกจากนั่นก็แวะชมทะเลสาบเม็ดดิซิน (Medicine Lake) ทะเลสาบนี้มีน้ำจากแม่น้ำมาลีนไหลเข้าทุกวันแต่แทบไม่มีน้ำในทะเลสาบเลย เป็นเพราะมันมีแหล่งระบายน้ำใต้ดินที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือนั่นเอง บางทีเขาเรียกมันว่าทะเลสาบหายตัว Disappearing Lake



ขับรถไปอีกนิดเจ้ากวางตัวนี้แอบนอนหลบอยู่ แต่ไม่พลาดสายตาเรา



เลยจับมาถ่ายรูปสวย ๆ หน่อยนะ



จุดสุดท้ายปลายทางของเราคือทะเลสาบมาลีน (Maligne Lake) ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ ด้วยความยาวถึง 22 กิโลเมตร



ที่นี่เราจะล่องเรือ (Maligne Lake Cruise) มีไกด์บรรยาย นาน 90 นาที



รอบ ๆ ทะเลสาบจะเห็นซากของไฟป่าตอนปี 2003 เราเข้าใจกันว่าไฟป่ามันแย่มาก ๆ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย ป่าแถบนี้มีไม้สนเป็นไม้หลัก ไม้พันธุ์อื่นไม่ขึ้นเพราะอากาศหนาวและธาตุอาหารไม่เพียงพอ ป่าไม้เก่าแก่พวกนี้อยู่ไปนาน ๆ มันจะเริ่มตายไป ป่าเลยเสื่อมโทรม ไม่มีอะไรใหม่เกิดขึ้น



ไม้สนพันธุ์นี้ผลิตโคนแข็งหุ้มเมล็ด เมล็ดจะหลุดออกจากโคนได้เมื่อโดนความร้อนเท่านั้น เมื่อเกิดไฟป่าต้นไม้เก่าถูกไฟไหม้ตายไป โคนแข็งเปิดอ้าเมล็ดหลุดออกมา เราจึงได้ป่าใหม่ ไงล่ะ



ใครชอบตกปลาจะมาเรือเช่าสำหรับตกปลาในทะเลสาบก็ได้



ทะเลสาบมาลีนได้รับน้ำจากธารน้ำแข็งสามธารคือ มาลีนแกลเซียร์ (Maligne Glacier) ทางทิศเหนือ



ธารน้ำแข็งชารลทัน (Charlton Glacier) ทางทิศใต้



และธารน้ำแข็งบราโซ (Brazeau Glacier) ทางทิศตะวันออก



พอเรือมาถึงเกาะสปิริต (Spirit Island) เขาก็หยุดให้เราลงเรือถ่ายรูปเป็นเวลาสิบนาที ได้รูปยอดฮิตของเกาะสปิริต มาฝากกันตามระเบียบ



ขอนไม้ข้างทางเดินมีมอสขึ้นสวยไปอีกแบบ



หลังลงเรือแวะทานอาหารกลางวันง่าย ๆ ที่โรงอาหารของทะเลสาบมาลีน ประกอบวิวอันสวยงาม




ระหว่างทางกลับโรงแรมเห็นแกะเขาโง้ง (Bighorn sheep) อีกฝูงหนึ่ง




มีลูกแกะตัวเล็ก ๆ เรียกว่า แลมบ์ (Lamb) ขนปุกปุยน่ารัก




เย็นนี้เรามีแผนไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารระดับสี่ดาวแห่งเดียวของเมืองจาสเปอร์คือห้องอาหารอีดิธ คาเวลล์ ซึ่งเป็นห้องอาหารในโรงแรมแฟร์มองท์จาสเปอร์พาร์กลอดจ์ (Edith Cavell at Fairmont Jasper Park Lodge)



เพราะ Fairmont Jasper Park Lodge อยู่ข้างทะเลสาบโบแวร์ (Lac Beauvert) ห้องอาหารอีดิธ คาเวลล์ จึงมีวิวสวยตามไปด้วย การตกแต่งหรูหรา การบริการดีเยี่ยม เสริฟอาหารฝรั่งเศสแต่เชฟเป็นอเมริกัน รสชาติอาหารสำหรับเราแล้วคิดว่าเทียบกับการบริการไม่ได้



จบวันเพียงแค่นี้ มีต่อ..

Sunday, June 29, 2008

Canadian Rockies - Day Two

รุ่งขึ้นฝนตก ฟ้าไม่ใส มีแต่เมฆและหมอก รูปภูเขา Cascade ฉากสวยของเมือง Banff จึงดูสวยไปอีกแบบ



เราเริ่มต้นของวันด้วยการไปแวะชมน้ำตกโบว์ (Bow Falls)



ซึ่งตั้งอยู่กลางแม่น้ำโบว์ (Bow River)



ไม่ไกลจากโรงแรมแฟร์ม้องท์แบนฟ์สปริง (Fairmont Banff Springs Hotel) เท่าไหร่ เลยแวะไปถ่ายรูปซะหน่อย


จากนั้นก็แวะไปเที่ยวชมสวน (Cascade of time Gardens) ซึ่งตั้งอยู่ใน Canada Place


สวนนี้ตกแต่งโดยมีสิ่งปลูกสร้างและดอกไม้ผสมกัน


เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งลงดอกไม้ มันยังไม่โตเต็มที่ ถ้ามาช่วงปลายเดือนกรกฎาอาจสวยกว่านี้



มุ่งหน้าเดินทางต่อไปเพราะคืนนี้จะไปพักที่จาสเปอร์ จากแบ้นฟ์ ผ่านเลกลูอิส เข้าไฮเวย์สาย 93 หรือที่เรียกว่า Icefields Parkway ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยงามระดับโลกเลยทีเดียว



ข้างทางจะเห็นดอกไม้ป่าประจำแถบนี้อีกเหมือนกันมีรูปร่างเหมือนพู่กัน จึงมีชื่อเรียกว่า Paintbrush กระจัดกระจายอยู่ข้างทาง จริง ๆ แล้วมีหลายสีแต่ที่เห็นก็แค่สีแดงและส้ม



เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สวยงาม แต่เราก็ไม่ควรเพลิดเพลินชมวิวและขับรถอย่างประมาท บางส่วนที่เป็นเขตหินถล่มหรือหิมะถล่มยิ่งไม่ควรจอดเลย เราควรจะจอดรถตามจุดชมวิวที่เขามีไว้ให้เท่านั้น จุดชมวิวจุดแรกที่เราแวะจอด คือ น้ำตกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว (Bridal Veil Falls) เป็นน้ำตกเล็กแต่สูง เหมือนผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไงล่ะ




ที่เขาเรียกเส้นทางสายนี้ว่า Icefields Parkway ก็เพราะ แถวนี้มีทุ่งน้ำแข็งมากมาย เช่น Wapta Icefield, Wilson Icefield เป็นต้น แต่ที่ใหญ่ที่สุดคือ Columbia Icefield



มาทำความรู้จักทุ่งน้ำแข็งหรือ Icefields กันดีกว่า ยกตัวอย่าง ทุ่งน้ำแข็งโคลัมเบีย (Columbia Icefield) ให้หลับตานึกถึงทุ่งกว้างถูกล้อมรอบด้วยภูเขา 11 ลูก บริเวณหุบเขานี้มีหิมะตกเฉลี่ย 7 เมตรต่อปี หน้าร้อนสั้นมาก ทำให้หิมะละลายน้อย หลายร้อยปีผ่านไป เกิดการสะสมพอกพูนอัดแน่น กลายเป็นทุ่งน้ำแข็งกว้างถึง 325 ตารางกิโลเมตร สูงถึง 365 เมตร



ทีนี้เมื่อมันสูงแบบนั้น น้ำแข็งมันก็ล้นเขาสิ ล้นออกมาระหว่างยอดเขาเลยกลายเป็นธารน้ำแข็งหรือที่เรียกว่าแกลเซียร์ (Glacier) ทุ่งน้ำแข็งโคลัมเบียนี้มีธารน้ำแข็งล้นมาจากยอดเขาถึง 8 สาย วันนี้เราจะเยี่ยมชมหนึ่งในแปดธารน้ำแข็งนั้น

ธารน้ำแข็งแอทธาบาสก้า (Athabasca Glacier) เป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งของทุ่งน้ำแข็งโคลัมเบีย ที่สามารถมองเห็นได้จากไฮเวย์ แต่เพราะมันเข้าออกได้ง่ายเขาจึงมีบริการรถไต่น้ำแข็งสำหรับผู้ที่อยากดูใกล้ ๆ โดยมีค่าบริการคนละ 38 เหรียญ



เริ่มจากรถบัสส่งผู้โดยสารไปยังข้างธารน้ำแข็งเพื่อเปลี่ยนถ่ายสู่รถชมน้ำแข็งต่อไป ที่นี่มีรถชมน้ำแข็งโบราณซึ่งล้อทำจากเหล็กไว้ให้ดูด้วย เขาเลิกใช้ไปแล้วเพราะมันทำลายผิวน้ำแข็ง



รถชมน้ำแข็งสมัยใหม่มีล้อเป็นยางสูงประมาณห้าฟุต อัดลมอ่อนกว่ารถยนต์ธรรมดาเพื่อให้ขับนิ่มและไม่ทำลายผิวน้ำแข็งมากเกินไป คนขับรถจะทำหน้าที่เป็นไกด์บรรยายเรื่องของธารน้ำแข็งให้ฟังด้วย



ธารน้ำแข็งแอทธาบาสก้า (Athabasca Glacier) แต่ก่อนมีความยาวมากกว่านี้ แต่ปัจจุบันมีความยาวแค่ห้ากิโลเมตรกว่า ๆ หน้าหนาวหิมะตก ตรงปลายธารจะมีความยาวเพิ่มขึ้น 25 เมตร พอหน้าร้อนน้ำแข็งละลายมันจะหดไป 35 เมตร ดังนั้นมันจะหดไปโดยเฉลี่ยปีละ 10 เมตร



เขารู้ได้ยังไงเหรอ ก็วัดจากระยะกองหินและกรวดที่ถูกธารน้ำแข็งดันขณะที่มันเคลื่อนตัวลงมานะสิ เราเรียกหินและกรวดพวกนี้ว่ามอเรน (Moraine) ถ้าเป็นด้านข้างธารเรียกว่า Lateral Moraine และถ้าเป็นปลายธารจะเรียกว่า Terminal Moraine



วันนี้แดดจัด จะเห็นน้ำแข็งบางส่วนละลายไหลลงมาเป็นธารน้ำเล็ก ๆ รวมตัวกันข้างล่างกลายเป็นแม่น้ำแอทธาบาสก้า (Athabasca River) ต่อไป



ทางซ้ายมือของธารน้ำแข็งแอทธาบาสก้า มีธารน้ำแข็งชื่อสตัทฟิลด์ (Stutfield Glacier)



และทางขวามือมีธารน้ำแข็งชื่อโดม (Dome Glacier) ทั้งคู่สามารถมองเห็นได้ชัดจากไฮเวย์



จบทัวร์ธารน้ำแข็ง เรามุ่งหน้าไปยังเมืองจาสเปอร์ เห็นแกะเขาโง้ง (Bighorn sheep) ฝูงใหญ่ข้างถนน เจ้าสองตัวนี้ชนกันให้ดูด้วย




สังเกตว่าสีสันของมันกลมกลืนไปกับหินผารอบตัว เป็นการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม



ถัดจากนั้นก็แวะถ่ายรูปน้ำตกแทงเกิ้ล (Tangle Falls) น้ำตกสูงหลายชั้นและสามารถมองเห็นได้จากไฮเวย์ ช่วงต้นหน้าร้อนหิมะละลายจะมีน้ำเยอะ ถ้ามาหน้าฤดูใบไม้ร่วงอาจจะไม่เห็นน้ำเลย



ถึงเมืองจาสเปอร์ (Jasper) บ่ายแก่ ๆ เราจะพักที่นี่สองคืน จาสเปอร์เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในที่ราบระหว่างเทือกเขาสูง มีทางรถไฟขนานไปกับเมือง



ตัวเมืองมีร้านขายของ ร้านอาหารและโรงแรมเต็มไปหมด แต่เพราะเมืองมันเล็กเดินเที่ยวแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็ทั่วแล้ว เราต้องจองตั๋วไปเที่ยวเรือพรุ่งนี้ เลยถามคนขายตั๋วถึงร้านอาหารที่ดีของเมือง เขาแนะนำให้ไปที่วิลล่าคารูโซ่ (Villa Caruso) เลยไปทานอาหารเย็นที่นั่น อาหารใช้ได้ทีเดียว



โรงแรมที่พักชื่อ Amethyst Hotel สะอาดสะอ้านดี เราจองห้องพิเศษเลยกว้างขวางกว่าห้องปรกตินิดหนึ่ง จะได้พักสบายตลอดสองวัน



เนื่องจากเราอยู่ในเขต Northern Atmosphere ที่นี่ ณ ฤดูนี้พระอาทิตย์ตกดินประมาณสี่ทุ่มกว่าและพระอาทิตย์ขึ้นประมาณตีสี่ครึ่ง น่าดีใจแท้เพราะกลางวันยาว ๆ ทำอะไรได้หลายอย่าง

มีต่อ..

Canadian Rockies - Day one

มิถุนายน 2008

เทือกเขาร็อกกี้ มีชื่อเสียงในเรื่องทัศนียภาพอันสวยงาม ภูเขาเรียงกันเป็นทิว มีหิมะปกคลุม มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ ดอกไม้ตามธรรมชาติ แหล่งน้ำพุร้อน และน้ำตกต่าง ๆ ดังนั้นจึงเป็นนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งหลายทั้งที่มาเพราะความงาม มาเพราะสนใจศึกษาเรื่องธรรมชาติ และมาเพื่อทำกิจกรรมกลางแจ้ง



ออกจากสนามบินคัลการี่เกือบเที่ยง จุดหมายแรกที่เราจะไปในวันนี้คือคานาน้าสกิสคันทรี่ (Upper Kananaskis Lake) อยู่ห่างจากคัลการี่ประมาณ 140 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง

เริ่มจากไฮเวย์ 1 ต่อด้วยไฮเวย์ 40 เส้นทางสาย ณ จุดนี้ไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นบริเวณของ Kananaskis Country หรือเรียกสั้น ๆ ว่า K Country มีบริเวณมากกว่า 4000 ตารางกิโลเมตร เขาว่ากันว่าเปรียบเสมือนสาวรุ่นของคัลการี่เลยทีเดียว ถ้ามีโอกาสควรมาเยี่ยมชม



ไฮเวย์ 40 สู่ วิลเลจของคานาน้าสกิส (Kananaskis Village) นับว่าเป็นเส้นทางที่สวยเส้นทางหนึ่ง มีภูเขาเป็นเทือก ทั้งมีหิมะ



และไม่มีหิมะ



ยอดเขาบางยอดก็มีรูปร่างแปลกน่าสนใจ



บ้างทำเป็นลู่สกีเอาไว้บริการขาสกีทั้งหลายในหน้าหนาว มีที่ให้เดินป่าหลายเส้นทาง แต่ช่วงนี้บางเส้นทางต้องปิดไปเพราะมีหมีมาป้วนเปี้ยนอยู่เป็นอันตราย บางเส้นก็ลื่นยังไม่เหมาะแก่การเดินป่า



บางทีเห็นน้ำตกขนาดย่อมข้างทาง



ก่อนถึงจุดหมายปลายทางคือทะเลสาบคานาน้าสกิสตอนบน (Upper Kananaskis Lake) เราแวะศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยว เห็นเจ้ากระรอกตัวนี้มีชื่อเรียกว่า Columbia Ground Squirrel เป็นกระรอกเจ้าถิ่นในแถบแคนาดาฝั่งตะวันตก สีน้ำตาลเลื่อมแดง



ถึง Upper Kananaskis Lake แดดจัด ฟ้าใส เห็นคนกำลังเล่นเรือกันอยู่ ที่ทะเลสาบมีท่าให้เอาเรือลงน้ำ จึงมีคนเอาทั้งเรือยนต์และเรือพายมาเล่นกันหลายคนอยู่



ข้างทะเลสาบ มีทางเดินป่ายาวหลายกิโล เป็นทางเดินป่าง่าย ๆ ไม่สมบุกสมบัน ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือเดินป่าครบครัน จะเดินนานเท่าไหร่ก็ได้ เหนื่อยก็เดินกลับ ไม่มีใครว่า มะมาเดินป่ากัน

ทางเดินอยู่ระหว่าง Upper Kananaskis Lake กับ Lower Kananaskis Lake เห็นวิวทะเลสาบต่าง ๆ มุม



บางตอนจะเห็นน้ำตกเล็ก ๆ ไหลสู่ทะเลสาบ



นอกจากวิวสวย ๆ แล้วลองหันมาดูพืชพันธุ์แถบนี้มั่ง กล้วยไม้ดินคาลิปโซ่ (Calypso Orchid) ขึ้นตามข้างทาง ชอบที่กึ่งร่มกึ่งแดดและชื้น เป็นกล้วยไม้อันเล็ก สูงประมาณ 3 นิ้วได้ ก้านเท่าเข็ม ดอกขนาดหัวแม่มือ มีสีม่วงสวย อันนี้ต้องสังเกตให้ดีหลาย ๆ คนมองผ่านไปไม่สังเกตเพราะมันเล็ก



บริเวณเดียวกัน ก็มีดอกสตรอว์แบรรี่ป่า (Wild Strawberry) ดอกสีขาวสวย ขึ้นเรียงราย เห็นได้ง่าย การเดินป่าควรเดินตามทางที่เขากำหนดไว้เท่านั้น เพราะนอกจากจะเป็นอันตรายต่อตัวคุณแล้วยังเผลอเหยียบย่ำพืชพรรณเล็ก ๆ ที่คุณไม่สังเกตอีก



จูนิเปอร์แบรรี่ (Juniper Berry) ที่เขาใช้ทำเหล้าจิน ก็พอมีให้เห็นตามไหล่เขา



เดินไปแค่ครึ่งชั่วโมงก็หันหลังกลับ ไม่อยากเหนื่อยมากแต่วันแรก เดินกลับมาที่รถก็หนึ่งชั่วโมงพอดี ลาจากคานาน้าสกิสเพียงแค่นี้



เดินทางย้อนมาตามทางหลวงสาย 40 ก่อนเลี้ยวเข้าทางหลวงสาย 1 เห็นหมู่ม้าเคี้ยวหญ้าอยู่ข้างทาง ฟาร์มถูกล้อมด้วยรั้ว ยกเว้นที่ถนน ไม่มีประตู แต่มีแคทเทิ้ล เกรท (Cattle Grate) ซึ่งเป็นสะพานซี่เหล็ก พวกสัตว์ตีนกีบ เช่น วัว ควาย และม้า จะไม่กล้าข้ามซี่เหล็กนี้เพราะอาจลื่นขาหักได้



ขับรถต่อไปเพื่อจะไปแบ้นฟ์ (Banff) ซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติต้องเสียค่าบำรุง อาจเลือกเป็นรายวันที่ 19.60 เหรียญหรือรายปีที่ 136.40 เหรียญต่อครอบครัวก็ได้ เงินที่ได้เป็นค่าบำรุงห้องน้ำ ถังขยะ แหล่งปิกนิก ป้าย และจุดชมวิวต่าง ๆ ของพาร์กสี่แห่งคือ Banff, Jasper, Yoho and Kootenay National Parks ถ้าจ่ายรายปีสามารถเข้าออกได้ตลอด และให้คนอื่นใช้ก็ได้



แบ้นฟ์ (Banff) เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนไหล่เขา มีภูเขาสีเทาชื่อ Cascade เป็นฉาก เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวตลอดปี มีร้านขายของเล็ก ๆ มากมาย ร้านอาหารหลายชาติ ทั้งฝรั่ง ญีปุ่น เกาหลี จีน อิตาเลี่ยน รวมทั้ง ผับ และบาร์ต่าง ๆ



คืนนี้เราจะพักที่โรงแรมเม้าท์รอยัล (Mount Royal Hotel) เป็นโรงแรมเก่าแก่ ตั้งมาได้หนึ่งร้อยปีแล้ว อยู่ในตัวเมืองแบ้นฟ์ ทำให้เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก



คืนนี้เรากินอาหารเย็นที่ร้านอาหารใต้ถุนโรงแรมชื่อ Tony Roma’s มีชื่อเสียง ด้านซี่โครงย่าง แต่เราว่ารสชาติไม่ได้พิเศษอะไร จบวันแต่เพียงเท่านี้