Monday, October 19, 2009

บันทึกจากอังกฤษ 2 - London II

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตื่นมาวันนี้อาการดีขึ้นหน่อย แต่คงยังต้องทานยาแก้ปวดอยู่ ลงไปทานอาหารเช้าแบบอังกฤษที่ร้านอาหารของโรงแรมซึ่งรวมมาแล้วในแพ็กเก็จของเรา ต้องบอกว่าบริการของโรงแรมนี้ดีมาก ๆ พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส ให้ความเป็นมิตรและสุภาพสมมาตรฐานโรงแรม 4 ดาว

มีพนักงานของโรงแรมสองคนที่เราคุยด้วย เคยไปเมืองไทยและประทับใจมาก คนแก่หน่อยมีลูกชายที่ไปจัดงานแต่งงานที่เมืองไทยยังติดใจไม่หาย ลุงจะไหว้เราสวย ๆ ทุกครั้งที่เจอกันทำเอาพนักงานและแขกคนอื่น ๆ ยิ้มแก้มตุ่ยทุกครั้งที่เห็น



อาหารเช้าแบบอังกฤษนั้นมักประกอบไปด้วย ไข่ดาว ไส้กรอก ไส้กรอกเลือด ขนมปังปิ้ง มะเขือเทศทอด และเห็ด ที่โรงแรมนี้เสริฟอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ มีคนประจำเคาเตอร์ทำไข่ ใครไม่ชอบอาหารหนัก จะทานแต่พวกขนมอบก็มีให้เลือกหลายชนิด หรือจะเป็นแบบผลไม้และโยเกริต์ก็มีไว้บริการ

เราสั่ง Smoked Kippers ที่เป็นปลา Herring ผ่าแบะกลางตัว ใส่เกลือแล้วเอาไปรมควัน ที่นี่เขาเอามาย่างกินเป็นอาหารเช้า อันนี้ต้องสั่งเพราะไม่มีในไลน์บุฟเฟต์แต่ไม่คิดราคาเพิ่ม เราเข้าใจว่าคงไม่ค่อยมีคนสั่ง เราว่ารสชาติอร่อย ไม่เค็มจนเกินไป

สิบโมงครึ่งเราเดินไปจองที่ดู Changing of the guard ที่ Buckingham Palace



ถึงแม้จะอยู่ใกล้ ๆ ใช้เวลาเดินแค่สองนาทีก็ต้องรีบไป เพราะคนเยอะมาก ๆ พิธีเริ่ม 11.30 นาฬิกา แต่มีคนมาเริ่มรอตั้งแต่ 10 โมงเช้า ระหว่างรอบางคนก็ให้อาหารนกพิราบไปพลาง ๆ



ที่ลานหน้าพระราชวังมีตำรวจม้าคอยควบคุมคนดูให้เป็นระเบียบ



ขบวนเริ่มด้วยคนเล่น Bag Pipe



ตามด้วยทหารรักษาพระองค์



เรามองไม่เห็นพิธีที่ทำในเขตรั้วของพระราชวัง เพราะคนเยอะบังวิว

ได้รูปของขบวนมาพอสมควรเลยไม่ได้รอให้เสร็จพิธี เดินไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า


จับรถไฟใต้ดินที่สถานี Victoria ใกล้โรงแรม เพื่อไปลงที่สถานี Tower Hill ที่นี่เราจะไปดู The Tower of London ที่สร้างขึ้นโดย William the Conqueror ในปี 1066



ป้อมนี้ถูกต่อเติมต่อมาโดยกษัตริย์และกษัตรีย์หลาย ๆ รัชกาล มีขนาดใหญ่เร้นลับซับซ้อน ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงทึบ



ป้อมนี้ถูกใช้เป็นทั้งคุก สถานที่ทรมาน และสถานที่ประหารมาหลายชั่วคน เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาที่ไม่อาจลืมได้ แต่บัดนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ



จาก The Tower of London ก็เดินไป Tower Bridge สะพานข้ามแม่น้ำเธมส์ที่สร้างขึ้นในปี 1894



โดยถูกออกแบบให้ดูสวยงามยิ่งใหญ่คู่กับหอลอนดอนข้าง ๆ กัน



นักท่องที่สนใจสามารถเดินขึ้นไปชมสะพานทางเดินด้านบนที่เชื่อมหอทั้งสองของสะพานนี้ได้ จะได้เห็นวิวมุมสูงของ แม่น้ำเธมส์และ The Tower of London



ในแม่น้ำด้านตรงข้ามของ The Tower of London เป็นที่จอดของ H.M.S Belfast เรือรบสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งตอนนี้ปลดระวาง กลายเป็นเรือพิพิธภัณฑ์เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้



ลงรถไฟใต้ดินอีกครั้ง นั่งย้อนไปลงที่สถานนี Mansion House เพื่อไปแวะชม St. Paul’s Cathedral ที่ ๆ เจ้าหญิงไดอาน่าทำพิธีสมรสกับฟ้าชายชาร์ลส์



โบสถ์ดูสวยงามยิ่งใหญ่ มีหลังคาโดมสูง ด้านนอกเป็นปูนปั้นสวยงาม



นั่งท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในได้โดยเสียค่าผ่านประตู แต่เขาห้ามถ่ายรูปเพราะอาจรบกวนผู้ที่ตั้งใจมาสวดมนต์จริง ๆ



ตึกรอบ ๆ St. Paul’s Cathedral เป็นร้านค้าอาคารแต่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามไม่แพ้โบสถ์



เดินจนเมื่อย ก็จับรถไฟกลับมาที่สถานี Victoria ที่นี่ เราแวะซื้อ Cornish Pasty ไส้สเต๊ก จากร้านเบเกอรี่ชื่อดังของอังกฤษ มาที่นี่ทั้งทีไม่กินไม่ได้เสียชื่อหมด แป้งข้างนอกทั้งกรอบทั้งนุ่ม ไส้หนาและอร่อย



คุณสามีสุดที่รักอยากดื่มเบียร์เย็น ๆ เลยถือกลับมานั่งกินที่บาร์ของโรงแรม จะได้พักขาให้หายเมื่อยด้วย เบียร์แก้วหนึ่งที่นี่ประมาณ 4 ปอนด์ ในขณะที่เราสั่ง คาร์ปูชิโนแก้วหนึ่งโดนไปเกือบ 5 ปอนด์ ราคากาแฟที่โรงแรมโครตโหด

หลังอาหารว่างอันแสนอร่อยกลั้วเบียร์เย็น ๆ เราออกไปถ่ายรูป Westminster Cathedral ที่เราค้างไว้เมื่อวานเพราะแสงไม่สวย



Westminster Cathedral เป็นโบสถ์แบบ Byzantine style ของ eastern Roman Empire แตกต่างไปจากโบสถ์ที่ทั่วไปของลอนดอนที่มักเป็นแบบ Gothic เลยดูเด่นเป็นเอกลักษณ์



หลังจากนั้นว่าจะแวะไปดูโรงม้าและโรงเก็บรถ (The Royal Mews) ที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรม แต่ปรากฏว่ามันปิดไปซะแล้ววันนี้ เลยกลับมานั่งพักผ่อนที่ห้องแทน อาการหวัดกำเริบอย่างสุด ๆ น่าเบื่อชะมัด ประมาณ 6 โมงเย็นทางโรงแรมจัด ของว่าง (Canapés) มาให้ เลยจัดการชงชาดื่มคู่กันซะให้อุ่น



ทุ่มครึ่งต้องออกไปหาอะไรกิน ตัดสินใจไปร้านอาหารแบบ Bar and Grill ใกล้โรงแรม เป็นร้านอาหารสมัยใหม่ จัดโต๊ะเรียบง่าย น่านั่ง อาจเป็นเพราะยังไม่สบาย บวกกับทานอาหารว่างมาแล้วนิดหน่อย เลยไม่ค่อยหิว เราเลยสั่งแค่ปลา Sardine ย่าง ในขณะที่สามีสั่งทั้งอาหารเรียกน้ำย่อยและเมนคอร์ส ตามด้วยเบียร์อีกสองแก้ว ดูท่าทางท่านเอ็นจอยดี

No comments: