Sunday, March 02, 2008

Sint Maarten trip - ตอนที่ 1

เกาะเซ้นท์มาร์ตินหรือเซ้นท์มาร์แตน์(Sint Maarten หรือ Saint Martin) เป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ในแถบทะเลแคริบเบี้ยน มีพื้นที่โดยรวมแีค่ 87 ตารางกิโลเมตร ถูกครอบครองโดยประเทศมหาอำนาจถึงสองประเทศ โดยพื้นทางตอนใต้ของเกาะขึ้นอยู่กับดัทช์หรือเนเธอร์แลนด์ (เรียกว่าเกาะเซ้นท์มาร์ตินหรือ Sint Maarten) มีชื่อเสียงในเรื่องของแหล่งบันเทิงตอนกลางคืน หาดอันสวยงาม เครื่องประดับ เครื่องดื่มผสมที่ทำจากรัม และแหล่งการพนัน ทางตอนเหนือขึ้นอยู่กับฝรั่งเศส (ออกเสียงเป็น เซ้นท์มาร์แตน์ หรือ Saint Martin) มีชื่อเสียงในเรื่องหาดเปลือย เสื้อผ้า แหล่งช้อปปิ้ง และอาหารทั้งอาหารฝรั่งเศสและคาริเบี้ยน



บนเกาะไม่เห็นเขตแดนอย่างเป็นทางการ มีแต่เพียงป้ายหรืออนุเสาวรีย์ต่าง ๆ เท่านั้น ทั้งรัฐบาลฝรั่งเศสและรัฐบาลเนเธอร์แลนด์มีความเห็นตรงกันว่าไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนประชาชนต่างก็มีสิทธิเสรีภาพในการค้าขายซึ่งกันและกันโดยไม่มีขอบเขตขวางกั้น

Marigot

เราจองโรงแรมแห่งหนึ่งในฝั่งของฝรั่งเศส ในเมืองมาริโกท์ (Marigot) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของฝั่งนี้ โรงแรมอยู่ติดชายหาด มีหาดส่วนตัวสำหรับแขกที่มาพัก ติดกับท่าเรือมาริโกท์ และไม่ไกลจากที่จอดเรือรอยัลเลย (Marina Royale)



ห้องพักอยู่ติดกับฝั่งทะเล มีระเบียงไว้นั่งชมวิว ท้องทะเลเต็มไปด้วยเรือหลากชนิด นกหาปลาบินว่ิอนระหว่างหมู่เรือ น้ำทะเลเป็นสีฟ้าใสแจ๋ว ฟองคลื่นสีขาวซัดฝั่งเป็นระยะ ๆ ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งตลอดเวลา ถึงแม้จะปิดประตูหน้าต่างแล้วก็ตาม ตอนเย็นยังได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าเป็นสีแดงเรื่อ น่าดูชม



ทุกวันหลังอาหารเช้า เรามักจะจับจองเก้าอี้ชายหาด พร้อมหนังสือ แว่นกันแดด ครีมกันแดด และอุปกรณ์ดำน้ำตื้น อ่านหนังสือไป ชมวิวไป เบื่อก็ว่ายน้ำดูปลาท่ามกลางหมู่หินปะการัง ชายหาดของโรงแรมไม่กว้างนัก แต่พอที่จะบริการแขกได้ทั่วถึง และสามารถเดินทะลุไปยังหาดถัด ๆ ไปได้ตลอด ชายทะเลไม่ลึก ระดับลึกมากที่สุดแค่ 180 เซ็นติเมตร หาดทรายสั้นต่อด้วยแนวหินปะการัง น้ำทะเลสีฟ้าใส มองเห็นหมู่ปลาชัดเจน




นอกจากนั้นทางโรงแรมยังมีระเบียงขนาดใหญ่ยื่นออกไปในทะเล พร้ิิอมเก้าอี้ผ้าใบสำหรับแขกที่ชอบแดดจัด ๆ มีท้องฟ้าเป็นหลังคา มีตะวันเป็นเพื่อน เราใช้บริการระเบียงนี้เหมือนกันแต่เป็นตอนหลังอาหารเย็น นอนชมดาวระยิบระยับ กลางท้องฟ้ากว้าง มีเสียงคลื่นซัดซ่าเป็นแบ็กกราวนด์



ชีวิตชาวเรือ

ในทะเลแคริบเบี้ยนนี้ผู้คนมากมายเลือกที่จะพักผ่อนโดยการเดินทางโดยเรือระหว่างหมู่เกาะต่าง ๆ เป็นการส่วนตัว กินอยู่บนเรือ หาที่จอดตามท่าต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ไป ทำให้ท้องทะเลเต็มไปด้วยเรือขนาดกลางหลายประเภท เรานั่งมองหมู่เรือที่ท่ามาริโกท์ทุกวัน รู้สึกอิจฉาชีวิตเสรีนั้นจริง ๆ คนเหล่านี้มีผิวสีแทน รูปร่างดี ไม่อ้วนเผละ สงสัยคงได้ว่ายน้ำบ่อย ๆ หรือไม่กินมากก็ไม่รู้



เรือส่วนใหญ่เป็นแบบ Catamaran ไม่รู้ว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไร อาจเรียกว่าเรือขนานเพราะดู ๆ แล้วก็เหมือนมันประกอบด้วยเีรือสองลำคู่ักัน มีพื้นที่ใช้สอยระหว่างนั้น มีทั้งเครื่องยนต์และใบไว้ชักเมื่อมีลม ถ้าคุณดูหนังเรื่อง Water world จะเห็นว่าเรือที่ Kevin Costner ใช้อยู่นั่นแหละเรียกว่า Catamaran เราเห็นเรือแบบ Trimaran (เป็นแบบสามลำขนานกัน) อยู่ลำหนึ่ง แบบนี้จะมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น เพราะกว้างกว่า Catamaran หน่อยหนึ่ง




ตรงท้ายเรือของทุก ๆ ลำจะมีเรือยางยนต์ขนาดเล็กเอาไว้ขับเข้าฝั่งหาซื้ออาหารและของใช้ เมื่อเราเดินผ่านท่าเรือมาริโกท์ จะเห็นเรือยางเหล่านี้จอดเป็นแถวเรียงกันอยู่ฝั่งหนึ่ง



วันหนึ่งเราก็ยังเห็นครอบครัวแม่กับลูกสองคนขับเข้าฝั่ง น่ารักดีแท้




Marina Royale

จากโรงแรมเดินเข้าัฝั่งออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 5 นาทีจะเป็นที่จอดเรือรอยัล (Marina Royale)



อันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบขนาดใหญ่บนเกาะเรียกว่า Simpson Bay Lagoon ที่มาริน่านี้จะมีร้านอาหารฝรั่งเศสเรียงรายทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ทุกร้านจะตั้งเมนูไว้หน้าร้าน คนเดินผ่านไปมาจะไ้ด้เห็นและเลือกนั่งตามร้านที่ตนชอบ



ร้านที่นี่ทุกร้านจะหันหน้าเข้าทะเลสาบ ทำให้เห็นวิวสวย มีเรือน้อยใหญ่จอดเรียงราย อาหารอร่อยทุกร้าน

วันแรกที่เราไปที่นั่น พอดีหิวเลยเลือกร้านที่เจอแรก ๆ พอทานเสร็จ เดินออกมาเจอเชฟอีกร้านหนึ่งหน้าตาดี เลยตั้งใจว่าจะกลับไปทานร้่านนี้วันต่อมา พอไปทานจริง ๆ เชฟคนเดิมไม่มาทำงาน มีอีกคนทำแทน หน้าตาดีกว่าคนแรกอีก รสชาติอาหารพอ ๆ กัน แถมถูกใจอย่างอื่น อย่างนี้ก็เป็นเหตุผลที่ดีในการเลือกร้านอีกเหตุผลหนึ่งนา



ถัดเข้าฝั่งจากมาริน่า จะเป็นตัวเมืองมาริโกท์ มีร้านรวงขายของเสื้อผ้า



เครื่องประดับ นาฬิกา ทั้งแบบแบรนด์เนมชั้นนำต่าง ๆ หรือของพื้นเมือง ให้หาซื้อกันได้ตามชอบใจ




Marigot Harbour

ถ้าเิดินจากโรงแรมเลียบฝั่งทะเลไปประมาณ 5 นาทีจะเป็นท่าเรือมาริโกท์ ที่นักเดินเรือทุกคนที่ต้องการขึ้นเกาะในฝั่งฝรั่งเศสต้องมาผ่านด่าน



รอบ ๆ ท่าเรือใกล้น้ำจะเป็นร้านอาหารท้องถิ่นของคนแคริบเบี้ยน ถัดไปเป็นเพิงขายของที่ระลึก ทั้งเสื้อผ้าชายหาด ผลิตภัณฑ์เปลือกหอย ซ้อสพริกเผ็ด ๆ



ถนนถัดออกมาเป็นที่ตั้งของร้านอาหารยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็นอาหารฝรั่งเศส ร้านเบเกอรี่ บาร์ อาหารที่นี่คุณภาพดี อร่อยทุกร้าน



นอกจากนั้นถัดออกไปบนเชิงเขาบริเวณท่าเรือนี้ยังมีศูนย์การค้าหรูอยู่ด้วย ขายของแบรนด์เนมราคามากมายมหาศาล เกินความสามารถในการซื้อของเรา เลยได้แต่หลบร้อนหาไอเย็น ๆ ไปพลาง ๆ

No comments: