Monday, March 03, 2008

Sint Maarten trip - ตอนที่ 4

อาหารบนเกาะ

เซ้นท์มาร์ตินในฝั่งของฝรั่งมีชื่อเสียงในเรื่องของอาหารฝรั่งเศส ว่ากันว่าเป็นเกาะที่อาหารอร่อยที่สุดในทะเลแคริบเบี้ยนเลยที่เดียว ตลอดเวลา 7 วัน 7 คืนที่เราอยู่ที่นั่น เราได้สรรหาอาหารการกินที่ไม่ซ้ำกันเลย ซึ่งก็ไม่เป็นเรื่องยาก เพราะมีร้านอาหารมากมายเลือกชิม ไม่ว่าจะเป็นที่โรงแรม ร้านอาหารที่ Marina Royale และร้านอาหารที่ท่าเรือมาริโกท์ หรือร้านอาหารที่แกรนด์เคส




ใครจะไปนึกว่าครัวซองท์(Croissant) บนเกาะนี้จะอร่อยกว่าที่โตรอนโตเยอะแยะ เราอาจละเมอเพ้อพก แต่มันอร่อยจริง ๆ นะ หอมนุ่มชุ่มเนย หรือแม้แต่ขนมปังยาวของฝรั่งเศส – ปะเก็ต (Baguette) มันก็ยังอร่อยกว่าที่โตรอนโตเลยนะ ไม่เข้าใจจริง ๆ





ซุปปลาร้อน ๆ ที่เสริฟมากับขนมปังกรอบแผ่นบาง และเนยแข็งขูด เวลาทาน ให้เอาเนยโปะขนมปังกรอบ หย่อนลงไปในซุปพอให้เนยละลาย แล้วตักเข้าปาก อันนี้ก็คล้าย ๆ ซุปหัวหอมฝรั่งเศส แต่ ซุปหัวหอมนั้นพ่อครัวเขาเอาขนมปังกรอบกับเนยโรยไว้แล้วเอาเข้าเตาให้เนยละลายก่อนเสริฟให้เรา



บูลาเบส หรือสตูว์ปลาและอาหารทะเล (Bouillabaisse) เป็นอาหารของฝรั่งเศสตอนใต้ เขาเอาปลาชนิดต่าง ๆ และอาหารทะเลอื่น ๆ มาต้มในน้ำซุปปรุงรสด้วยผักเครื่องเทศต่าง ๆ อร่อยมาก (ไม่มีรูปให้ดู)





ในขณะที่ Nouvelle cuisine (French for "new cuisine") ก็เป็นกระแสที่มาแรง มีการผสมผสานเทคนิคการทำอาหารแบบฝรั่งเศส (ที่ส่วนตัวเราคิดว่าเป็นเทคนิคการทำอาหารที่ดีที่สุดในโลก) แต่ทำให้มันออกมาเบา ๆ ไม่เลี่ยน และมีการจัดเรียงอาหารให้สวยงามในจานเสริฟ





ทุกร้านอาหารมักจะเสริฟอาหารทะเล ซึ่งสดและใหม่ เพราะไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเหมือนเนื้อสัตว์ประเภทอื่น เชฟส่วนใหญ่จะเสริฟอาหารทะเลดิบ ๆ เช่นในรูปของทาร์ทาร์ เลียนแบบ Beef Tartare ชื่อดัง แต่ใช้เนื้อปลา เช่น เซลมอนทาร์ทาร์ หรือ มาหี่มาหี่ทาร์ทาร์ ซึ่งก็คือการเอาเนื้อปลามาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วปรุงรส เสริฟมาในจานที่สวยงาม





อีกรูปหนึ่งของการเสริฟเนื้อสัตว์ดิบคือเลียนแบบอาหารอิตาเลี่ยน เรียกว่า คาร์พากชิโอ (Carpaccio) นั้นคือการแล่เนื้อสัตว์เป็นแผ่นบาง ๆ แล้วเอาน้ำมันมะกอกราด เช่น เซลมอนคาร์พากชิโอ สแ็น็ปเปอร์คาร์พากชิโอ(ปลากะพง) เป็นต้น





เพราะเป็นร้านอาหารฝรั่งเศส ดังนั้นมีไวน์ให้เลือกดื่มหลายชนิด ทั้งไวน์ขาว ไวน์แดง ไวน์ชมพู(Rose) และแชมเปญ ทั้งนี้เครื่องดื่มทั้งที่มีอัลกอฮอลล์และไม่มี ก็มีให้เลือกหลากหลาย



ถึงแม้ร้านอาหารหลายร้านจะเสริฟของหวาน แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่มีเชฟของหวาน นอกจากร้านขนาดใหญ่จริง ๆ ที่มีเชฟของหวานประจำการ ดังนั้นเรามักจะเลือกทานของพวกนี้ในร้านเบเกอรี่แยกต่างหากในตอนบ่าย ๆ ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง



เบเกอรี่ฝรั่งเศสจะทำจากเนยแท้ ๆ รสชาติดี แถวมาริโกท์มีร้านเบเกอรี่ให้เลือกทานหลายร้านอยู่



กาแฟที่นี่มักจะเสริฟสไตล์ฝรั่งเศสที่เรียกว่า คาเฟ่ โอ เลท์ (Café au lait) คือเสริฟกาแฟกับนมร้อนมีโฟม ถ้าคุณสั่งกาแฟธรรมดาคำเดียวโดด ๆ จะได้กาแฟดำรสเข้มข้นเหมือนเอสเพรสโซ่ ถ้าอยากได้กาแฟธรรมดาสไตล์อเมริกันต้องสั่งว่า อเมริกันคอฟฟี่





อาหารที่ไม่ควรพลาดอีกประเภทหนึ่งคืออาหารแคริบเบี้ยน ที่ขึ้นชื่อก็น่าจะเป็นเนื้อหอยสังข์ (Conch) ที่เขาเอามาทำสตูว์ หรือครีโอล์ (Creole) หรือแกงแบบทรินิแดด แกงแบบทรินิแดดนั้นสามารถทำด้วยเนื้อชนิดต่าง ๆ ที่นิยม คือเนื้อหอยสังข์ ไก่ และกุ้ง





อีกอันที่น่าสนใจคือไส้กรอกเืืลือด (blood pudding หรือ Boudins)




ทอดมันประเภทต่าง ๆ เช่น หอยสังข์ ปลาคอดเค็ม ก็เป็นที่นิยม อันนี้รสชาติแบบแคริบเบี้ยนไม่ใช่แบบบ้านเรา เราคิดว่าเนื้อน้อยแป้งมากไปหน่อย ของไทยเราอร่อยกว่า




นอกนั้นก็จะเป็นพวกเจอร์ก คือเอาเนื้อสัตว์เช่น ไก่ หรือ หมู มาหมักกับเจอร์กซ้อส แล้วย่างหรืออบให้สุก รสชาติเผ็ดพอสมควร แต่อาจเผ็ดมากน้อยแล้วแต่ร้าน



เบียร์ในแถบนี้ชือเบียร์ คาริบ เวลาดื่มบีบมะนาวซีกลงไปเหมือนเบียร์โคโรน่า

นอกจากนั้นก็ยังมีร้านอาหารประเภทอื่น ๆ ในเลือกทานพอสมควร เช่น อาหารอิตาเลี่ยน อาหารจีนหรืออาหารไทยที่เจ้าของเป็นคนไทยก็ยังมี แต่เราว่าตามคุณภาพแล้วอาหารฝรั่งเศสจะดีที่สุด ดังนั้นควรลืมอาหารประเภทอื่นไปได้เลย

Sunday, March 02, 2008

Sint Maarten trip - ตอนที่ 3

Anguilla ไปเที่ยวเกาะอันกวิลล่ากัน

ทริปนี้เป็นหนึ่งในทริปที่จะคงอยู่ในความจำของเราไปนานเลยที่เดียว



เช้าวันศุกร์วันรองสุดท้ายของเวเคชั่นบนเกาะสวรรค์ เราตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวอาณานิคมของประเทศอังกฤษเกาะอันกวิลล่า ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะเซ้นท์มาร์ติน เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากโรงแรมที่เราพักอยู่ แต่เพราะเราต้องไปกับกรุ้ปทัวร์ต้องไปลงเรือยังฝั่งดัชท์ ซึ่งเป็นตอนใต้ของเกาะเซ้นท์มาร์ติน ทำให้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นเพราะต้องนั่งเรืออ้อมเกาะมาอีกไกล



รถโดยสารปรับอากาศมารับเราีที่โรงแรมเวลาประมาณ 7.30 น แล้วพาไปลงทะเบียนและทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นครัวซองท์หรือแดนิสกับชาหรือกาแฟ ซึ่งอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ



เราไปลงเรือกันที่ท่าเรือใกล้ ๆ กับ Philipsburg ใกล้ ๆ กับ ที่ ๆ มีเรือสำราญขนาดใหญ่มาเีทียบท่า พาหนะที่พาเราไปเกาะอันกวิลล่าวันนี้เป็นเรือ Catamaran ขนาดใหญ่ ติดเครื่องยนต์และใบชักลมด้วย มีบาร์เครื่องดื่มอยู่ตรงกลาง ม้าเก้าอี้ยาวสำหรับนั่งติดตั้งอยู่เรียงราย กัปตันใจดีเป็นหนุ่มฝรั่งเศส หน้าตาดี ถึงไม่ค่อยหนุ่มแล้ว แต่ยังกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว



จริง ๆ แล้วเรือนี้น่าจะจุคนได้เป็นร้อย แต่วันนั้นมีผู้โดยสารทั้งสิ้นแค่ 38 คน เลยทำให้มีที่ว่างเยอะแยะ นั่งเล่น นอนเล่นสบาย ๆ กัน กับตันสตาร์ทเครื่องยนต์ออกเรือเวลา 9.00 น เป๊ะ จากเซ้นท์มาร์ตินไปยังอันกวิลล่า เราจะใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นหนึ่งชั่วโมงสามสิบนาที นั่งมองทิวทัศน์ของเกาะจากบนเรือ เกาะซ้นท์มาร์ตินเป็นภูเขาสูงต่ำไล่เลี่ยกันไป มีบ้านเรือนสิ่ิงปลูกสร้างหลากสีสันตามไหล่เขา เป็นระยะ ๆ



ทุก ๆ อ่าวจะมีเรือจอดอยู่ เห็นเสากระโดงเรือโด่เด่ สวยไปอีกแบบ นี่แหละทิวทัศน์เจนตาของทะเลแคริบเบี้ยน

สองข้างด้านหน้าของเรือเป็นตาข่ายขึงเอาไว้นอนเล่น แต่ละข้างรับน้ำหนักได้ไม่เกิน 6 คน เรานอนเล่นอย่างสงบอยู่ในตาข่ายด้านซ้ายมือของเรืออยู่คนเดียว เสียงวี๊ดว้ายจากผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่อีกข้างเมือเรือเริ่มแล่น เพราะน้ำกระเด็นเซ็นซ่าพวกเธอนั่งอยู่ติดขอบด้านขวาของตาข่าย เรานอนอยู่ค่อนข้างตรงกลางเรือเลยไม่เปียก



พอพ้นจากชายฝั่งพอควร ลมเริ่มแรง กัปตันเลยชักใบขึ้น เพื่อประหยัดน้ำมัน เหมือนในหนังเรื่อง Water world เปี๊ยบ ณ บนเรือนี้เป็นเวลาที่เรานั่งฝันว่าตัวเองกำลังอยู่ในหนัง มี Kevin Costner เป็นกัปตันพาเราล่องลอยไปในพื้นน้ำสีคราม ครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราได้สัมผัสใกล้ชิดกับเรือ Catamaran จึงอยากจะซึมทราบความทรงจำไว้ให้นานที่สุด



ร่วมมาในเรือ คือตากล้องรายการสารคดีหนึ่งจากเมืองมอนทริอัล (แคนาดา) เขาขอให้พวกเราเซ็นต์ยินยอมเป็นส่วนร่วมในการถ่ายทำครั้งนี้ ซึ่งทุกคนก็ยินดี หวังว่าเราคงไม่หลุดไปในรายการ girls gone wild หรืออะไรเทือกนั้นนา

หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไปไวเหมือนโกหก เรือได้มาถึงอาณานิคมของอังกฤษ เกาะอันกวิลล่า ในขณะที่ภูมิประเทศของเกาะเซ้นทมาร์ตินเป็นภูเขาสูงต่ำ เกาะอันกวิลล่าเป็นเพียงแผ่นดินราบ ๆ ไม่ีมีเขาสูงเลย หาดทรายกว้างสีขาว น้ำทะเลสีฟ้าใส เตะตา ที่นี่ไม่ค่อยพลุกพล่านเหมือนเกาะเซ้นท์มาร์ติน



หลังลงเรือเล็กเข้าฝั่ง มีรถบัสมารับพวกเราไปยังวนอุทยานแ่ห่งชาติ Shoal Bay ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะ ตามโปรแกรม พวกเราจะได้ดำน้ำตื้น ว่ายน้ำ และนอนเล่นบนหาดที่นั่น ระหว่างทางจะสังเกตบ้านเรือนหลังเล็ก ๆ เหมือนแถบภาคใต้ของไทย ต้นไม้ ใบไม้ก็เกือบจะเป็นพันธุ์เดียวกัน



ในวนอุทยานแ่ห่งชาติ Shoal Bay มีหาดทรายกว้าง น้ำใส แต่วันนั้นคลื่นค่อนข้างแรง เนื่องจากทรายละเอียดและเปลือกหอยบดกระจัดกระจายในน้ำ ทำให้เสียวิสัยทัศน์ในการดำน้ำตื้น คงได้แต่ว่ายน้ำ เดินเล่นตามชายหาด และนอนอาบไอแดดกลางหาดทรายขาว



อาหารกลางวันเป็นไก่ย่างชาวเกาะ อร่อยแต่ไม่สะใจ เราต้องสั่งแกงหอยสังข์แบบทรินิแด๊ดมาเพิ่ม รสชาติจัดจ้าน เผ็ดถึงใจ อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่ามาถึงเกาะจริง ๆ และนั่นเป็นแกงแคริบเบี้ยนที่อร่อยที่สุดในทริปนี้เลยแหละ



บ่ายสามโมงตรงรถมารับกลับเรือ จริง ๆ แล้วขับประมาณ 30 นาทีก็ถึง แต่เนื่องจากมีิอุบัติเหตุบนท้องถนน ทำให้้ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ระหว่างนั้นเป็นเวลาเลิกเรียนพอดี คนขับรถบัสชี้ให้เห็นสีของเครื่องแบบนักเรียนประถมที่นี่ซึ่งจะเป็นสีเดียวกับสีประจำโรงเรียนของแต่ละโรงเรียน เนื่องจากรถติดตากล้องสารคดีของเราเลยได้มีโอกาสได้ถ่ายภาพของเด็ก ๆ ในโรงเรียน ถูกรุมล้อมเสียยกใหญ่ เด็ก ๆ ดูมีความสุขมาก ๆ ที่ได้เข้ากล้องวีดีโอ



กลับถึงเรือประมาณสี่โมงครึ่ง แอบมองเข้าฝั่งมีคนขี่ม้าเลียบหาด ดูมีความสุขดีจัง



ขากลับลูกเรือทุกคนดูมีความสนิทสนมกันดี พูดคุยกันยกใหญ่ ใบเรือถูกชักเมื่อออกจากฝั่งได้ไม่นาน คลื่นสีขาวกระทบสองข้างของเรือ คนไหนนั่งใกล้ตาข่ายหน้าเรือก็เปียกปอนไปตามระเบียบ ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังหัวเราะมีความสุขท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม



ใบเรือถูกเก็บลงเมื่อใกล้ฝั่ง พระอาทิตย์คล้อยต่ำ ส่งแสงสีแดงเรื่อขอบฟ้า หกโมงเย็นทุกคนก้าวออกจากเรือ พระอาทิตย์อัสดง ลาก่อน Catamaran วันหนึ่งเราอาจได้พบกันอีก

Sint Maarten trip - ตอนที่ 2

Grand Case

แกรนด์เคส เป็นเมืองเล็กอีกเมืองหนึ่งในฝั่งของฝรั่งเศส ทุกวันอังคารตอนเย็นมีจะมีกิจกรรมคล้ายถนนคนเดินบ้านเรา เขาปิดถนนเส้นเล็ก ๆ ใกล้หาด แล้วมีชาวบ้านมาตั้งโต๊ะขายของต่าง ๆ เช่น ของหัถตกรรมต่าง ๆ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ซ้อสพริกเผ็ด ๆ



มีดนตรีบรรเลงสด ๆ ข้างถนน ใครอยากเต้นรำเคล้าเสียงเพลงก็เต้นกันกลางถนนได้เลย




สองข้างถนนเป็นร้านอาหาร ส่วนใหญ่เป็นอาหารฝรั่งเศส แต่สุดถนนเป็นคล้าย ๆ โรงเรือนเปิดโล่งขายอาหารแคริบเบี้ยน กลิ่นซี่โครงย่าง ไก่ย่างหอมตลบอบอวลไปหมด ยั่วน้ำลายได้ดีจริง ๆ อดใจไม่ไหว ต้องรรีบจับจองหาที่นั่ง สั่งมาลุย





ถนนสายหลักหรือทุกสายบนเกาะจะมีอย่างมากแค่สองเลนไว้สวนกัน และถนนค่อนข้างแคบเหมือนเมืองไทยเลย ขากลับมีอุบัติเหตุรถชนกันบนถนน รถติดแหง็กไม่ขยับเพราะไม่มีทางไป โชคดีที่เป็นทางตรงกันข้ามไม่งั้นกว่าเราจะกลับถึงโรงแรมก็หลังเที่ยงคืนเป็นแน่

ไปเี่ที่ยวฝั่งดัชท์กัน

เมืองฟิลิปส์เบอร์ก (Philipsburg) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของฝั่งเนเธอร์แลนด์ ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องของร้านขายของปลอดภาษี และชายหาดอันสวยงาม




เราเรียกแท็กซี่จากมาริโกท์ไปฟิลิปส์เบอร์ก รถขับไปตามถนนสูงต่ำตามภูมิประเทศ เมื่อถึงจุดชมวิว คนขับรถใจดีแวะจอดให้เราถ่ายรูปวิวมุมสูงของเมืองมาริโกท์ ที่มีอ่าวโค้ง ทรายขาว เห็นเสากระโดงเรือเต็มอ่าว ค่ารถแท๊กซี่จากมาริโกท์มาฟิลิปส์เบอร์กประมาณ 15 เหรียญเท่านั้นเอง



ถนนฟร้อนท์ (Front Street) คือถนนที่มีร้านรวงขายของปลอดภาษีต่าง ๆ ทั้งเครื่องประดับอัญมณีต่าง ๆ นาฬิกาหรู ๆ เครื่องอิเล็กโทรนิกส์ กล้องถ่ายรูป คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ถนนนี้ยาวประมาณ 2 กิโลได้



เวลาเดินผ่านจะมีคนเรียกลูกค้าเข้าร้านซึ่งเป็นคนท้องถิ่น (แคริบเบี้ยน) แต่สังเกตว่าเจ้าของร้านส่วนใหญ่จะเป็นคนอินเดีย แปลกดีเหมือนกัน ไม่ค่อยเห็นคนดัชท์เลย



ถัดจากถนนฟร้อนท์ออกไปทางทะเลจะเป็นถนนติดหน้าหาด ฝั่งหนึ่งเป็นร้านอาหารและผับบาร์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารแคริบเบี้ยน อีกฝั่งของถนนเป็นชายหาดกว้างใหญ่เต็มไปด้วยเก้าอี้ชายหาดและร่มหลากสี



หาดนี้มีผู้คนพลุกพล่านเต็มไปหมดเนื่องจากเป็นที่ขึ้นฝั่งของคนที่่ท่องเที่ยวมากับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise ships) อีกด้วย วันที่ยุ่งที่สุดจะเป็นวันอังคารกับวันพุธเพราะลูกเรือลงเยอะมาก จากหาดนี้มองออกไปทางทะเลจะเห็นเรือสำราญลำใหญ่พวกนั้นจอดเรียงรายไปหมด ดูรก ๆ และน้ำทะเลก็ดูจะไม่สะอาดเท่าฝั่งฝรั่งเศส




ตกกลางคืนผู้คนในฝั่งดัชท์มักจะเล่นการพนันกัน ในแถบ Simpson Bay หรือ Maho Bay มีคาสิโนขนาดกลางหลายแห่ง แต่ไม่ได้อยู่ติดกันเหมือนในเวกัส ก็พอสนุกหอมปากหอมคอ


Sint Maarten trip - ตอนที่ 1

เกาะเซ้นท์มาร์ตินหรือเซ้นท์มาร์แตน์(Sint Maarten หรือ Saint Martin) เป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ในแถบทะเลแคริบเบี้ยน มีพื้นที่โดยรวมแีค่ 87 ตารางกิโลเมตร ถูกครอบครองโดยประเทศมหาอำนาจถึงสองประเทศ โดยพื้นทางตอนใต้ของเกาะขึ้นอยู่กับดัทช์หรือเนเธอร์แลนด์ (เรียกว่าเกาะเซ้นท์มาร์ตินหรือ Sint Maarten) มีชื่อเสียงในเรื่องของแหล่งบันเทิงตอนกลางคืน หาดอันสวยงาม เครื่องประดับ เครื่องดื่มผสมที่ทำจากรัม และแหล่งการพนัน ทางตอนเหนือขึ้นอยู่กับฝรั่งเศส (ออกเสียงเป็น เซ้นท์มาร์แตน์ หรือ Saint Martin) มีชื่อเสียงในเรื่องหาดเปลือย เสื้อผ้า แหล่งช้อปปิ้ง และอาหารทั้งอาหารฝรั่งเศสและคาริเบี้ยน



บนเกาะไม่เห็นเขตแดนอย่างเป็นทางการ มีแต่เพียงป้ายหรืออนุเสาวรีย์ต่าง ๆ เท่านั้น ทั้งรัฐบาลฝรั่งเศสและรัฐบาลเนเธอร์แลนด์มีความเห็นตรงกันว่าไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนประชาชนต่างก็มีสิทธิเสรีภาพในการค้าขายซึ่งกันและกันโดยไม่มีขอบเขตขวางกั้น

Marigot

เราจองโรงแรมแห่งหนึ่งในฝั่งของฝรั่งเศส ในเมืองมาริโกท์ (Marigot) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของฝั่งนี้ โรงแรมอยู่ติดชายหาด มีหาดส่วนตัวสำหรับแขกที่มาพัก ติดกับท่าเรือมาริโกท์ และไม่ไกลจากที่จอดเรือรอยัลเลย (Marina Royale)



ห้องพักอยู่ติดกับฝั่งทะเล มีระเบียงไว้นั่งชมวิว ท้องทะเลเต็มไปด้วยเรือหลากชนิด นกหาปลาบินว่ิอนระหว่างหมู่เรือ น้ำทะเลเป็นสีฟ้าใสแจ๋ว ฟองคลื่นสีขาวซัดฝั่งเป็นระยะ ๆ ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งตลอดเวลา ถึงแม้จะปิดประตูหน้าต่างแล้วก็ตาม ตอนเย็นยังได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าเป็นสีแดงเรื่อ น่าดูชม



ทุกวันหลังอาหารเช้า เรามักจะจับจองเก้าอี้ชายหาด พร้อมหนังสือ แว่นกันแดด ครีมกันแดด และอุปกรณ์ดำน้ำตื้น อ่านหนังสือไป ชมวิวไป เบื่อก็ว่ายน้ำดูปลาท่ามกลางหมู่หินปะการัง ชายหาดของโรงแรมไม่กว้างนัก แต่พอที่จะบริการแขกได้ทั่วถึง และสามารถเดินทะลุไปยังหาดถัด ๆ ไปได้ตลอด ชายทะเลไม่ลึก ระดับลึกมากที่สุดแค่ 180 เซ็นติเมตร หาดทรายสั้นต่อด้วยแนวหินปะการัง น้ำทะเลสีฟ้าใส มองเห็นหมู่ปลาชัดเจน




นอกจากนั้นทางโรงแรมยังมีระเบียงขนาดใหญ่ยื่นออกไปในทะเล พร้ิิอมเก้าอี้ผ้าใบสำหรับแขกที่ชอบแดดจัด ๆ มีท้องฟ้าเป็นหลังคา มีตะวันเป็นเพื่อน เราใช้บริการระเบียงนี้เหมือนกันแต่เป็นตอนหลังอาหารเย็น นอนชมดาวระยิบระยับ กลางท้องฟ้ากว้าง มีเสียงคลื่นซัดซ่าเป็นแบ็กกราวนด์



ชีวิตชาวเรือ

ในทะเลแคริบเบี้ยนนี้ผู้คนมากมายเลือกที่จะพักผ่อนโดยการเดินทางโดยเรือระหว่างหมู่เกาะต่าง ๆ เป็นการส่วนตัว กินอยู่บนเรือ หาที่จอดตามท่าต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ไป ทำให้ท้องทะเลเต็มไปด้วยเรือขนาดกลางหลายประเภท เรานั่งมองหมู่เรือที่ท่ามาริโกท์ทุกวัน รู้สึกอิจฉาชีวิตเสรีนั้นจริง ๆ คนเหล่านี้มีผิวสีแทน รูปร่างดี ไม่อ้วนเผละ สงสัยคงได้ว่ายน้ำบ่อย ๆ หรือไม่กินมากก็ไม่รู้



เรือส่วนใหญ่เป็นแบบ Catamaran ไม่รู้ว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไร อาจเรียกว่าเรือขนานเพราะดู ๆ แล้วก็เหมือนมันประกอบด้วยเีรือสองลำคู่ักัน มีพื้นที่ใช้สอยระหว่างนั้น มีทั้งเครื่องยนต์และใบไว้ชักเมื่อมีลม ถ้าคุณดูหนังเรื่อง Water world จะเห็นว่าเรือที่ Kevin Costner ใช้อยู่นั่นแหละเรียกว่า Catamaran เราเห็นเรือแบบ Trimaran (เป็นแบบสามลำขนานกัน) อยู่ลำหนึ่ง แบบนี้จะมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น เพราะกว้างกว่า Catamaran หน่อยหนึ่ง




ตรงท้ายเรือของทุก ๆ ลำจะมีเรือยางยนต์ขนาดเล็กเอาไว้ขับเข้าฝั่งหาซื้ออาหารและของใช้ เมื่อเราเดินผ่านท่าเรือมาริโกท์ จะเห็นเรือยางเหล่านี้จอดเป็นแถวเรียงกันอยู่ฝั่งหนึ่ง



วันหนึ่งเราก็ยังเห็นครอบครัวแม่กับลูกสองคนขับเข้าฝั่ง น่ารักดีแท้




Marina Royale

จากโรงแรมเดินเข้าัฝั่งออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 5 นาทีจะเป็นที่จอดเรือรอยัล (Marina Royale)



อันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบขนาดใหญ่บนเกาะเรียกว่า Simpson Bay Lagoon ที่มาริน่านี้จะมีร้านอาหารฝรั่งเศสเรียงรายทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ทุกร้านจะตั้งเมนูไว้หน้าร้าน คนเดินผ่านไปมาจะไ้ด้เห็นและเลือกนั่งตามร้านที่ตนชอบ



ร้านที่นี่ทุกร้านจะหันหน้าเข้าทะเลสาบ ทำให้เห็นวิวสวย มีเรือน้อยใหญ่จอดเรียงราย อาหารอร่อยทุกร้าน

วันแรกที่เราไปที่นั่น พอดีหิวเลยเลือกร้านที่เจอแรก ๆ พอทานเสร็จ เดินออกมาเจอเชฟอีกร้านหนึ่งหน้าตาดี เลยตั้งใจว่าจะกลับไปทานร้่านนี้วันต่อมา พอไปทานจริง ๆ เชฟคนเดิมไม่มาทำงาน มีอีกคนทำแทน หน้าตาดีกว่าคนแรกอีก รสชาติอาหารพอ ๆ กัน แถมถูกใจอย่างอื่น อย่างนี้ก็เป็นเหตุผลที่ดีในการเลือกร้านอีกเหตุผลหนึ่งนา



ถัดเข้าฝั่งจากมาริน่า จะเป็นตัวเมืองมาริโกท์ มีร้านรวงขายของเสื้อผ้า



เครื่องประดับ นาฬิกา ทั้งแบบแบรนด์เนมชั้นนำต่าง ๆ หรือของพื้นเมือง ให้หาซื้อกันได้ตามชอบใจ




Marigot Harbour

ถ้าเิดินจากโรงแรมเลียบฝั่งทะเลไปประมาณ 5 นาทีจะเป็นท่าเรือมาริโกท์ ที่นักเดินเรือทุกคนที่ต้องการขึ้นเกาะในฝั่งฝรั่งเศสต้องมาผ่านด่าน



รอบ ๆ ท่าเรือใกล้น้ำจะเป็นร้านอาหารท้องถิ่นของคนแคริบเบี้ยน ถัดไปเป็นเพิงขายของที่ระลึก ทั้งเสื้อผ้าชายหาด ผลิตภัณฑ์เปลือกหอย ซ้อสพริกเผ็ด ๆ



ถนนถัดออกมาเป็นที่ตั้งของร้านอาหารยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็นอาหารฝรั่งเศส ร้านเบเกอรี่ บาร์ อาหารที่นี่คุณภาพดี อร่อยทุกร้าน



นอกจากนั้นถัดออกไปบนเชิงเขาบริเวณท่าเรือนี้ยังมีศูนย์การค้าหรูอยู่ด้วย ขายของแบรนด์เนมราคามากมายมหาศาล เกินความสามารถในการซื้อของเรา เลยได้แต่หลบร้อนหาไอเย็น ๆ ไปพลาง ๆ