Monday, April 13, 2009

เกาะ Antigua - ตอนที่ 2

สถานที่น่าสนใจบนเกาะ

นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวรอบเกาะโดยการเช่ารถขับเที่ยวเอง ไปกับขบวนรถจี๊บ หรือจะเช่าแท๊กซี่ให้เขาขับพาเที่ยวก็ได้ เราเลือกรถแท๊กซี่ซึ่งเป็นรถตู้ติดแอร์เย็นฉ่ำ ให้เขาพาไปเที่ยวรอบเกาะ สนนราคาก็พอจ่ายได้ ไม่ถึง 200 เหรียญอเมริกัน สำหรับสองคน ซึ่งก็ดีไม่น้อยเพราะมีความเป็นส่วนตัว จะแวะที่ไหนนานเท่าไหร่ก็ได้






วันพุธรถมารับที่รีสอร์ทเวลา 9 โมงตรง ขับวนไปทางทิศตะวันตกชมวิวรอบ ๆ เกาะ เขาพาเราไปแวะที่ Curtain Bluff หาดที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง



ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทราคาแพงชื่อเดียวกัน แวะถ่ายรูป ชมชายหาดอันสวยงามซักพัก ก็ไปต่อ


เกาะแอนที้ก้ามีประชากรประมาณ 7 หมื่นกว่าคน พื้นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ มีทั้งชายหาด หนองน้ำ ที่ราบและภูเขา แต่ก่อนเคยปลูกอ้อยเป็นเศรษฐกิจหลัก เดี๋ยวนี้ต้องพึ่งการท่องเที่ยวเพื่อหาเงินเข้าประเทศ ไม่มีใครอยากทำการเกษตรกรรมอีกแล้ว ถึงแม้จะยังมีการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์อยู่บ้างแต่อาหารส่วนใหญ่ก็นำเข้ามาจากเกาะเพื่อนบ้านอย่างเกาะโดมินิกัน เป็นต้น




เราผ่านส่วนที่เรียกว่า Fig Tree Drive (ฟิกทรีไดร์ฟ) ซึ่งเป็นเส้นทางขับรถที่นิยมของนักท่องเที่ยว เห็นชื่อทีแรกนึกว่ามีต้นมะเดื่อเรียงราย ที่ไหนได้ คำว่า Fig เป็นภาษาพื้นเมืองแปลว่าต้นกล้วย ดังนั้นเส้นทางสายนี้ก็เต็มไปด้วยต้นกล้วย พร้อมกันต้นไม้อื่น ๆ เช่น มะม่วง มะพร้าว หรือพืชเตี้ย ๆ อย่าง สับปะรด ด้วย แต่โดยรวมแล้วถือเป็นเขตป่าไม้สำคัญของเกาะเลยทีเดียว



เกาะ Antigua มีการปลูกสับปะรดพันธุ์สีดำ (Black pineapple) เป็นเอกลักษณ์ของเกาะ สับปะรดพันธุ์นี้รูปร่างเหมือนกับสับปะรดภูเก็ตบ้านเรา แต่เมื่อเราแวะชิมดูแล้วปรากฏว่ารสชาติไม่หวานเท่า คิดว่าอาจรูปร่างเหมือนกันเท่านั้นเอง



เราแวะเข้าไปเที่ยวที่ท่าจอดเรืออุทยานแห่งชาติเนลสัน (Nelson’s Dockyard National Park) ซึ่งถือเป็นท่าจอดเรือตั้งแต่สมัยจอร์เจียน (Georgian Dockyard) ที่ยังคงใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้



อุทยานแห่งชาตินี้ประกอบไปด้วยตัวอาคารประชาสัมพันธ์ดาวส์ฮิลล์ (Dow’s Hill Historical Centre) ที่เราชมการบรรยายเกี่ยวกับประวัติของเกาะนี้ตั้งแต่สมัยที่ยึดครองโดยประเทศอังกฤษมีการนำทาสจากอัฟริกาเข้าเป็นแรงงานในไร่อ้อย เพื่อทำเป็นรัม และเนื่องจากเกาะนี้อยู่ใกล้กับเกาะต่าง ๆ ในอาณานิคมของดัทช์ และฝรั่งเศส อังกฤษต้องสร้างฐานทัพบนเกาะนี้เพื่อปกปัองแผ่นดินและไร่อ้อยอันมีค่ามหาศาลในสมัยนั้น พอเขาเลิกผลิตรัมคนอังกฤษก็ย้ายออกจากเกาะ ตอนนี้คนที่หลงเหลืออยู่คือคนผิวดำเท่านั้นเอง



เนื่องจากที่ตั้งของศูนย์ประชาสัมพันธ์เป็นที่สูง สามารถชมวิวหน้าผาอันสวยงามได้โดยรอบ



ซึ่งจะมองเห็นอิงลิชฮาร์เบอร์ (English Harbour) และ Nelson’s Dockyard อย่างชัดเจน



จากนั้นเราก็ไปผาเชอร์ลีย์ ไฮทส์ (Shirley Heights) ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของป้อมปราการแห่งหนึ่ง ปัจจุบันมีการจัดงานขายอาหาร เครื่องดื่มและการแสดงพื้นเมืองต่าง ๆ ทุกวันอาทิตย์ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานนี้ด้วย



สุดท้ายของอุทยานก็ไปสิ้นสุดที่ Nelson’s Dockyard ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่จอดเรือแล้ว ยังมีส่วนของการแสดงพิพิธภัณฑ์ ประวัติชีวิตของ Nelson ชื่อเจ้าของสถานที่ มีร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ และโรงแรม ร้านอาหารด้วย



จาก Nelson’s Dockyard ขับรถอีกประมาณ ครึ่งชั่วโมง เราก็แวะไปเที่ยวชมสะพานปีศาจ Devils Bridge ซึ่งเป็นผาหินที่ถูกน้ำเซาะกลายเป็นสะพานธรรมชาติ ที่เราไม่กล้าเดินข้าม เพราะกลัวถูกคลื่นเซาะพัดพาลงทะเลไปนะสิจ๊ะ



ใกล้ ๆ กับสะพานปีศาจ ก็แวะไปชมลองบีช (Long Beach) หาดสวยทรายขาวอีกแห่งหนึ่ง ที่มีรีสอร์ทราคาแพงขึ้นเรียงราย และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว มาว่ายน้ำและดูปะการังน้ำตื้น



จุดสุดท้ายของการเที่ยวเกาะคือเบ็ทตี้ส์ โฮป (Betty’s Hope) โรงงานผลิตน้ำอ้อยเพื่อทำรัมแห่งแรกของเกาะ ที่เขาได้ปรับปรุงซ่อมแซมโรงบดอ้อยกังหันลม เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ไว้ให้ลูกหลานและนักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม สมัยนี้ไม่มีโรงงานผลิตอ้อยบนเกาะแล้ว เศรษฐกิจของเกาะโดยหลักคือการท่องเที่ยวเท่านั้นเอง



สิ้นสุดทัวร์กลับมารีสอร์ทหลังสามโมงเย็น

มีต่อตอนต่อไป

เกาะ Antigua - ตอนที่ 1

เกาะแอนที้ก้า(Antigua) ตั้งอยู่ในแถบทะเลแคริ้บเบี้ยน เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เกาะที่เป็นแหล่งพักผ่อนทางทะเลที่สำคัญของชาวแคนาดาที่อาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออก เช่น โตรอนโต มอนทรีอัล เกาะนี้เคยเป็นแหล่งผลิตอ้อยเพื่อทำเหล้ารัมที่สำคัญของประเทศอังกฤษ ดังนั้นบนเกาะจึงยังคงมีซากปรักหักพังของโรงบดอ้อยแรงลมอยู่ให้เห็นทั่วไป เพียงแต่กังหันลมได้ผุกร่อนไปแล้ว นอกจากนั้นก็ยังเห็นป้อมปราการสมัยศตวรรษที่ 18 ตั้งอยู่ประปรายตามแหลมหินรอบเกาะ




ชายฝั่งเกาะแอนที้ก้ามีรูปร่างเว้า ๆ แหว่ง ๆ ทุกส่วนที่เว้าและแหว่ง ก็มีชายหาดสีขาวสวยงาม เมื่อมันเว้าแหว่งมาก ๆ ก็เลยทำให้มีชายหาดถึง 365 หาด เรียกว่าถ้าไปอยู่ปีหนึ่งก็ไปเที่ยววันละหาดได้เลย หาดทุกหาดถือเป็นพื้นที่สาธารณะ เปิดให้ทุกคนได้ใช้ประโยชน์ บางหาดอาจเข้าทางบกไม่ถึงเพราะไม่มีถนนตัดเข้าไป หาดส่วนใหญ่เงียบสงบ บางหาดมีปะการังให้ดำน้ำดูได้



จากโตรอนโตเราบินลงใต้ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงสนามบินที่เกาะแอนที้ก้า จุดประสงค์หลักคือหนีความวุ่นวายของชีวิตประจำวันในเมืองใหญ่ เพื่อการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ กับบุคคลอันเป็นที่รัก


ที่พักของเรา

ที่พักของเราชื่อ Cocobay Resort จุดขายของรีสอร์ทนี้คือความโรแมนติก เงียบสงบ ดังนั้นทางรีสอร์ทจึงรับเฉพาะแขกผู้ใหญ่ ไม่รับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าพัก ยกเว้นช่วงคริสมาสต์เท่านั้น จึงเป็นที่นิยมของคู่แต่งงานทุกเพศทุกวัยที่ต้องการพักผ่อนอย่างสงบ บางคู่ก็มาแต่งงานบนหาดที่นี่เลย น่ารักน่าจดจำไปอีกแบบ




เหตุเพราะเกาะนี้เว้า ๆ แหว่ง ๆ อย่างที่บอกข้างต้น ที่ตั้งของรีสอร์ทก็เป็นชะง่อนผาหินหรือแหลมเล็ก ๆ ยื่นลงไปในทะเล สองข้างของชะง่อนหินเป็นชายหาดสีขาวสวยงาม แขกที่มาพักสามารถว่ายน้ำเล่นได้ทั้งสองหาด ที่พักประกอบไปด้วยกระท่อมเล็ก ๆ เรียงราย ไม่ใช่ตึกสูงโด่เด่ ทั้งหมดมีแค่ 57 ห้องเท่านั้น บนเกาะไม่ค่อยมีร้านอาหารหรือบาร์ให้เลือกมากมาย ดังนั้นรีสอร์ททุกแห่งบนเกาะรวมทั้งรีสอร์ทที่เราไปพักด้วย จึงให้บริการแบบ All-Inclusive คือที่พักพร้อมอาหารสามมื้อทุกวัน



ที่นี่ทุกเช้าและกลางวันจะมีอาหารแบบบุบเฟต์ไว้คอยให้เลือกกินตามชอบใจ ตกบ่ายจะมีชากาแฟและของว่างไว้บริการ ในขณะที่มื้อเย็นจะเป็นอาหารแบบ 4 คอร์ส ตามสั่ง แต่มีรายการอาหารให้เลือกสั่งทุกคอร์ส ประกอบไปด้วย ซุป สลัด เมนคอร์สและของหวาน รายการอาหารของแต่ละวันก็แตกต่างกันไป ทั้งนี้ยกเว้นวันพฤหัสบดีที่ทางรีสอร์ททำเป็นอาหารพื้นเมืองแบบบุบเฟต์ (Caribbean Buffet) และวันอาทิตย์ก็จะมีบาร์บีคิวแบบเวสต์อินเดียน (West Indian Barbeque) ระหว่างรับประทานอาหารก็สามารถเลือกดื่มเครื่องดื่มได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ไวน์ เบียร์ หรือค็อกเทลล์ประเภทต่าง ๆ



ระหว่างวัน แขกของรีสอร์ทสามารถรับเครื่องดื่มทุกชนิดได้ที่บาร์ในตัวโรงเรือน แต่ที่ปลายหาดก็มีเครื่องดื่มง่าย ๆ ไว้สำหรับนักอาบแดดทั้งหลายให้บริการตัวเองด้วย นอกจากนั้นก็ยังสามารถใช้อุปกรณ์ของเล่นทางน้ำอย่างเช่น เรือคายัก เรือใบ เครื่องมือดำน้ำตื้นอย่างหน้ากาก ตีนกบ ฟรีอีกด้วย เรียกว่าถ้าคุณไม่อยากออกจากรีสอร์ทเลยก็มีทุกอย่างไว้บริการครบครัน



เราเดินทางไปถึงวันอาทิตย์ จากสนามบินเรียกรถแท๊กซี่ไปรีสอร์ทใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ที่เกาะนี้ขับรถเลนซ้ายเหมือนเมืองไทยเลย ถนนก็มีแค่สองเลนเป็นอย่างมาก และคนขับก็ขับฉวัดเฉวียนไม่แพ้กัน



กระท่อมของเราเป็นแบบวิวทะเล (Sea view Cottage) เราจองไว้ทั้งหมด 7 คืน ในห้องมีแชมเปญแช่เย็นไว้รออยู่ พร้อมดอกไม้ในแจกันสวยงาม เตียงขนาดใหญ่ (ควีนไซส์) มีมุ้งกลมคลุมไว้ น่ารัก น่านอน ในห้องมีเครื่องปรับอากาศแต่ไม่ค่อยมีคนใช้ เพราะอากาศกลางคืนบนเกาะเย็นอยู่แล้ว อีกทั้งไม่มีทีวีและโทรศัพท์ในห้อง เราชอบไปพักในสถานที่แบบนี้ เป็นการหนีชีวิตประจำวันอันยุ่งเหยิง สู่ความสงบของธรรมชาติ เพื่อสัมผัสสายลม แสงแดดและเสียงคลื่น อย่างแท้จริง



ด้านหลังของกระท่อมทุกหลังจะหันหน้าเข้าทะเลเป็นระเบียงมีหลังคา มีเก้าอี้ และแปลญวนแขวนไว้ให้นอนเล่นเย็นใจ ห้องน้ำมีประตูหลังเปิดสู่ทะเล ทำให้เห็นวิวสวยงามและรับแสงสว่างตามธรรมชาติ แต่มีก็มีความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างดี





กิจกรรมในรีสอร์ท

แขกที่มาพักในรีสอร์ทเกือบทั้งหมดมาเป็นคู่ ๆ ส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษ ที่เหลือประกอบด้วย อิตาเลี่ยน ดัชท์ อเมริกันและแคนาดา กิจกรรมประจำวันของแขกที่มาพักบนเกาะคือ นอนรับไอแดดอันอบอุ่นหรือจูงมือกันเดินตามชายหาด หลายคนจะอ่านหนังสืออย่างเงียบ ๆ นั่งดูนกกระทุงหาปลา ว่ายน้ำทะเล พายเรือคายัก เล่นเรือใบ หรือนอนรับแดดรอบ ๆ สระน้ำแบบอินฟินิตี้ (infinity pool) ออกแบบให้กลืนไปกับทะเลสีครามอันสวยงาม ถึงแม้สระจะมีขนาดไม่ใหญ่นักแต่สามารถรองรับความต้องการของแขกในรีสอร์ทได้



ทุก ๆ วันหลังอาหารเช้า เรามักจะไปนอนรับแดดที่ชายหาดเฟรย์ ติดกับรีสอร์ททางทิศตะวันตก นกกระทุงหลายตัวจะมาดำน้ำหาปลาอวดอยู่ตลอดเวลา พอถึงเวลา 10 โมงเช้า เจ้าหน้าที่ก็เปิดให้ยืมเรือคายัก หรือเรือใบ และอุปกรณ์ดำน้ำตื้นได้ เสียแต่ว่าน้ำทะเลของชายหาดฝั่งด้านนี้มีคลื่นซัดตลอดเวลาทำให้มีทรายเม็ดเล็ก ๆ ล่องลอย ไม่มีวิสัยทัศน์สำหรับการดำน้ำตื้นเลย แต่ก็เหมาะสมกับการว่ายน้ำ เพราะใกล้หาดน้ำจะลึกประมาณ 1 เมตร มีแนวหินปะการังล้อมรอบเป็นสัดส่วน



เหมือนแขกคนอื่น ๆ ในรีสอร์ทซึ่งส่วนใหญ่มาหาความสงบตามธรรมชาติ มีแขกบางคนเท่านั้นที่ใช้เรือพายหรือเรือใบที่ทางรีสอร์ทมีไว้บริการกันเบื่อ ส่วนเรานั้นพายเรือคายักเล่นแค่ครั้งเดียว พายไปรอบ ๆ อ่าวเชอร์ชวัลเล่ย์ (Church Valley) ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ได้เหงื่อพอสมควร อีกทั้งแดดจัดจ้า ครีมกันแดดยังเอาไม่อยู่ ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย



ที่สนุกหน่อยก็คือเรือใบ เรือที่เราแล่น เรียกว่า Catamaran ผลิตโดยบริษัท Hobie จึงเรียกกันง่าย ๆ ว่า Hobie Cat เพราะเราไม่เคยแล่นเรือใบ คนดูแลเรือจึงอธิบายวิธีการแล่นให้เล็กน้อยก่อนออกทะเล ทั้งนี้หลักง่าย ๆ ก็คือ เราพยายามให้ใบเรือรับลมเต็มที่ โดยให้ทิศทางลมมาจากด้านหลัง ดังนั้นคนเป็นกับตันก็จะเปลี่ยนข้างถือหางเรือตามทิศทางของลม และก็คอยบังคับเรือให้ไปในทิศทางที่ต้องการเท่านั้นเอง ฟังดูง่ายมั้ย



กับตันสุดที่รักของเราเริ่มก่อน เขาทำได้ดีมาก บังคับเรือให้แล่นโดยใบเรือต้านแรงลม เรือแล่นไปรอบอ่าว สนุกสนานดี ทีนี้ก็เลยถึงตากัปตันผู้หญิงล่ะ เราลองแล่นดู ใช้เวลาไม่นานก็พอแล่นได้ ใบเรือต้านลม ลมยิ่งแรงเรือยิ่งเร็ว เรือยิ่งเร็วเรายิ่งสนุก และแล้วก็ถึงเวลาเลี้ยวกลับ ความเร็วไม่ลด พยายามเลี้ยว เรือก็เลยคว่ำ

ลอยคออยู่ในน้ำสีคราม เรือคว่ำแต่เสียงหัวเราะดังลั่น กับตันผู้ชายรีบว่ายน้ำออกไปไกลเรือเพื่อถ่ายรูปเอาไว้เกทับทีหลัง



เขากลับมาดึงเรือให้พลิกกลับ ช่วยเรากลับขึ้นเรือ พร้อมกับบอกว่า ที่รักวันนี้คุณพอแค่นี้ก่อนนะ ให้ผมเป็นกับตันทั้งวันก็แล้วกัน ขี้เกียจกู้เรือ ฮา..


ตอนบ่ายเรามักจะมานั่งเล่นที่สระว่ายน้ำ มีอยู่หลายวันที่เราแช่น้ำเล่นในสระ พร้อมนั่งมองหมู่นกกาบินกลับรัง เรือต่าง ๆ มุ่งกลับท่า และตะวันค่อย ๆ ตกน้ำลับตาไป


ยังมีตอนต่อไป....

Wednesday, March 25, 2009

Sugar Bush

ปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิหรือระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ – เมษายน ขึ้นอยู่กับภาวะอากาศในแต่ละปี ถ้าเป็นช่วงที่กลางวันอุ่นกลางคืนหนาว จะเป็นช่วงที่เขาเจาะต้นเมเปิ้ลเอาน้ำหวานกัน เพราะเขาว่าน้ำตาลจะวิ่งดีช่วงนี้แหละ



สถานที่ที่เราจะไปในวันนี้เป็นป่าอนุรักษ์ชานเมืองโตรอนโต เป็นสถานที่นิยมสำหรับเด็ก ๆ ยิ่งช่วงวันหยุดในเดือนมีนาคมยิ่งดีใหญ่ คนเยอะ แบบลานจอดรถสองลานเต็มเลยล่ะ



เราเริ่มด้วยทัวร์ 1 ชั่วโมง มีไกด์นำ เขาอธิบายการเจาะเก็บน้ำตาลเมเปิ้ล และสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ดงเมเปิ้ลที่ใช้ทำน้ำตาลเขาเรียกว่า Sugar Bush ซึ่งช่วงนี้มีแต่ต้นสล้าง ใบร่วงไปเมื่อฤดูที่แล้วยังไม่งอก จึงดูค่อนข้างแห้งแล้ง




แอบดูน้ำตาลใส ไหลหยดติ๋ง ๆ รสชาติเหมือนน้ำเปล่า น้ำที่ได้จากต้นเมเปิ้ล 40 ลิตร ทำน้ำตาลได้ลิตรเดียว แหม มิน่าแพงจังเนอะ



ที่ฟาร์มมีต้นเมเปิ้ลมากมาย ส่วนหนึ่งน้ำหวานจะถูกเจาะและรองรับในถังไว้โชว์เทคโนโลยี่ดั้งเดิม มีจุดบรรยายการเจาะและทำน้ำตาลของคนอินเดียนท้องถิ่นสมัยนู้น



ซึ่งเขาทำให้มันระเหยโดยการเอาน้ำตาลที่รองได้ใส่ในถังที่เจาะจากลำต้นของต้นไม้ แล้วเราหินเผาไฟจุ่มลงไป พอใส่หินร้อน ๆ ลงไปเยอะน้ำมันก็ร้อน และเดือดระเหยออกไป ใช้เวลา 3 วันกว่าจะได้น้ำตาลมาใช้ ช่างอดทนกันจริง



จุดบรรยายถัดมาเป็นคนผิวขาวจากยุโรปที่มาตั้งรกรากในทวีปอเมริกาเหนือ หรือเรียกว่าพวกไพโอเนีย มีถังโลหะใช้รองรับน้ำตาล มีการต้มน้ำตาลในหม้อโลหะ เรียงกันสามหม้อ พอผ่านไปสี่ – ห้าชั่วโมง ก็ตักถ่ายไปใส่หม้อต้มถัดไป เพื่อจะเิติมน้ำตาลใหม่ในหม้อแรก วนเวียนเป็นอย่างนี้ ใช้เวลา 1 วันกว่าจะได้มาซึ่งน้ำตาลเมเปิ้ลหอมอร่อย



จุดนี้มีน้ำตาลให้ลองชิมด้วย หวาน หอม อร่อยลิ้น และเพราะอากาศค่อนข้างเย็นวันนี้ น้ำตาลเลยหนืดมากกว่าปรกติ



พอมาถึงสมัยปัจจุบันเขาก็ไม่ใช้ถังแล้ว เปลี่ยนมาใช้สายยางพ่วงแทน ต่อสายยางเป็นระบบ จนถึงโรงต้มน้ำตาลเลยทีเดียว เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้สามารถทำน้ำตาลเมเปิ้ลได้ภายในเวลา 6 ชั่วโมงเอง



น้ำตาลเมเปิ้ลตามมาตรฐานของแคนาดาต้องมีระดับน้ำตาล 66 เปอร์เซ็นต์ และน้ำตาลที่ถือว่ามีคุณภาพคือน้ำตาลต้นฤดู น้ำตาลจะเป็นน้ำตาลอ่อน ไม่เข้ม



หลังจบทัวร์ก็ถึงเวลาสำคัญแหละ นั่นคือการกินแพนเค้กราดน้ำตาลเมเปิ้ลรสอร่อย เดินกับทัวร์ออกกำลังตั้งหนึ่งชั่วโมง แพนเค้กสองแผ่นแล้วกันนะ

Saturday, February 07, 2009

Hot Pot สุกี้ จุ่มจิ้ม หรือแจ่วฮ้อน

ที่เมืองไทยได้กินสุกิ้บ่อย ๆ เพราะเป็นที่นิยมกัน บางทีก็เปลี่ยนบรรยากาศไปกินจุ่มจิ้มกันเบื่อ แต่พอมาอยู่ที่แคนาดาโอกาสได้กินมีน้อยมาก อยู่นี่มาเกือบ 14 ปีแล้ว ถ้าจำไม่ผิดได้กินสุกี้แค่ 3 ครั้ง



สาเหตุที่ไม่ค่อยได้กินเพราะ คนในครอบครัวบ่นว่าไม่ถูกสุขอนามัย เพราะทุกคนบนโต๊ะมักจะจุ่มตะเกียบของตนเองไปในหม้อต้ม อีกทั้งร้านอาหารประเภทนี้นอกจากไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักแล้ว เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารมักเป็นคนจีน ไม่มีน้ำจิ้มอร่อย ๆ ถูกปากคนไทยอย่างเราเท่าไหร่

เพราะไม่ได้กินสุกี้มานาน สุดสัปดาห์นี้เลยวางแผนเป็นอย่างดี ว่าจะต้องทำสุกี้อร่อย ๆ กินที่บ้านให้ได้ บอกสมาชิกที่จะมาทานอาหารเย็นร่วมกันในวันเสาร์ไว้แล้วจะทำ Hot Pot กิน เขาจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า



เราเริ่มด้วยการเตรียมอุปกรณ์ให้ครบครัน โดยการไปหาซื้อหัวเตาเดี่ยวแบบตั้งโต๊ะ แก๊สกระป๋องที่ใช้กับเตา หม้อต้มสุกี้ตื้น ๆ ปากกว้าง ภายในหม้อแบ่งเป็นสองส่วน ตั้งใจจะทำน้ำซุปสุกี้ธรรมดาครึ่งหนึ่งและน้ำซุปแจ่วฮ้อนหรือสุกี้อิสานครึ่งหนึ่ง ตะกร้าสำหรับลวกสุกี้ซึ่งซื้อไว้ตั้งนานแล้วแต่ไม่เคยได้ใช้ ตะเกียบก็มีแล้ว ทัพพีตักน้ำซุป

ทีนี้เพื่อป้องกันการบ่นของสมาชิกในครอบครัวเรื่องไม่ถูกสุขอนามัย เราก็ต้องหาคีมคีบของดิบให้ครบทุกคน เพื่อใช้ในการคีบของดิบลงลวกในตะกร้า เราก็จะได้ใช้ตะเกียบเพื่อการคีบของเข้าปากอย่างเดียว ห้ามจุ่มลงหม้ออย่างเด็ดขาด คิดว่าเป็นการวางแผนที่ดีทีเดียวแหละ

สุกี้กับจุ่มจิ้ม แตกต่างกันทั้งเรื่องน้ำซุป ของที่ใช้ลวก และน้ำจิ้ม

น้ำซุปของสุกี้มักจะเป็นน้ำซุปกระดูกสัตว์ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวหรือเกลือ ในขณะที่น้ำซุปของจุ่มจิ้มเป็นน้ำเปล่าต้ม เิติม ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า หอมซอย รากผักชี ปรุงรสด้วยน้ำปลา



เราทำน้ำซุปของเราโดยใช้กระดูกหมู ปรุงรสด้วยเกลือเติมขิงทุบ สำหรับสุกี้ธรรมดา ในขณะที่แบ่งน้ำซุปเดียวกันนั้นมาเิติม น้ำปลา ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า และรากผักชี เพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและกลิ่นหอมไปด้วยเครื่องเทศไทยสด ๆ เป็นน้ำซุปจุ่มจิ้ม

ในส่วนของของที่ใช้ลวกนั้น จุ่มจิ้ม มักจะใช้เนื้อวัว เช่นเนื้อสัน เนื้อน่องลาย และเครื่องในวัว เช่น ตับ หัวใจ ผ้าขี้ริ้ว โดยเอามาหั่นบาง ๆ พอคำ ในขณะที่สุกี้จะมีของลวกหลากหลายกว่า โดยมี หมู ไก่ เนื้อ อาหารทะเลพวก กุ้ง ปลาหมึก ปลา รวมทั้งพวกลูกชิ้นต่าง ๆ ด้วย

เราก็เลือกของที่เราชอบและคนในครอบครัวทานได้ วันนี้เราก็เลยเตรียม เนื้อน่องลาย เนื้อไก่ ตับหมู และเซี่ยงจี้หมูมาหั่นเอง ส่วนของอาหารทะเลก็มี กุ้ง ปลาหมึกกระดอง หอยเชลล์ตัวใหญ่ ๆ และยังมีเกี้ยวกุ้งถุงเล็กอีกถุงหนึ่ง


ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตของจีน มีเนื้อหั่นบาง ๆ ขายเป็นแพ็ก ๆ สำหรับ Hot Pot โดยเฉพาะ สนนราคาก็ไม่แพงนัก เราก็เลยซื้อเนื้อที่หั่นแล้วมาอีกสามอย่างคือ เนื้อสัน เนื้อแกะ และคอหมู มาด้วย แค่นี้ก็เกินพอสำหรับกินกันห้าคน

สุดท้ายของความแตกต่างระหว่างสุกี้กับจุ่มจิ้มคือน้ำจิ้ม เราก็เลยเตรียมน้ำจิ้มมันทั้งสองอย่างให้จิ้มกินกันอย่างจุใจทั้งสองรสชาิติ

น้ำจิ้มแจ่วนั้นปรกติจะใช้น้ำปลาร้า แต่เพราะคนในครอบครัวไม่ใช่คนไทย จะใช้น้ำปลาร้าซึ่งมีกลิ่นไม่ค่อยโสภาก็อาจทำให้วงแตกได้ ก็เลยใช้น้ำปลาผสมซีอิ้วขาว เติมพริกป่น ข่าป่น ข้าวคั่ว และน้ำมะขาม ปรุงรสให้ออกเค็ม เผ็ด แทรกรสเปรี้ยวเล็กน้อย และหอมข้าวคั่ว เป็นใช้ได้
น้ำจิ้มสุกี้เราใช้เต้าหู้ยี้ ผสมซ้อสพริกศรีราชา ซ้้อสมะเขือเทศ น้ำส้มสายชู น้ำตาล ซีิ้อิ้วขาว น้ำมันงา งาคั่ว กระเทียมและพริกสับ ผักชีซอยละเอียด ผสมให้เข้ากัน ชิมรสให้เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ได้ตามชอบใจ ถ้าผสมดี ๆ รสชาติออกมาอร่อยกว่าน้ำจิ้มสุกี้เอ็มเคเลยล่ะ

แต่ก็มีบางคนที่ไม่กินเผ็ด เราก็เลยเตรียมน้ำจิ้ิมพิเศษเป็นซีอิ้วขาวผสมขิงซอยเป็นเส้นเล็ก ๆ กับต้นหอมซอย แค่นี้เขาก็ชอบใจนักหนาแล้ว

ส่วนผักนั้นเราก็เตรียมผักกาดขาว เห็ดเข็มทอง (Inoki) เห็ดนางรม และผัก Watercress เด็ดเป็นชิ้นเล็กพอลวกได้ง่าย


Hot Pot นั้นจะใช้เวลานานหน่อยก็ตรงต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้ิอมก่อนทานนี่แหละ ทำความสะอาด เด็ดผักให้เรียบร้อย ทำความสะอาดเนื้อสัตว์ ที่ต้องหั่นซอยเป็นชิ้นพอคำก็ทำ แกะเปลือกกุ้งและดึงไส้ให้เรียบร้อย ปลาหมึกก็บั้งและหั่นให้สวยงาม เซี่ยงจี้หรือไตนั้นต้องผ่าเอา่ท่อปัสสะวะสีขาวข้่างในออกให้หมด ไม่งั้นกลิ่นไม่ค่อยดีนัก ปรุงรสเนื้อสัตว์เหล่านี้ด้วย ซีอิ้วขาว น้ำมันงา ขิงซอย และต้นหอมซอย แต่สำหรับตับและเซี่ยงจี้หมูนั้นเราปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยและเติมนมเล็กน้อย หมักให้เข้าเนื้อ เนื้อจะนุ่มและรสชาติจะดีเวลาลวกกิน

มื้อนี้มีคนชอบกินเต้าหู้หลายคนเลยเพิ่มเต้าหู้อ่อนไปด้วย

จัดเนื้อสัตว์และผักในจานแปล เอาเนื้อรวมกับเนื้อ ผักรวมกับผัก จัดวางให้พอกับสมาิชิกร่วมโต๊ะแต่ละด้าน เพื่อให้ทุกคนหยิบได้สะดวก ไม่ต้องไขว่มือไปมา


น้ำซุปเราก็ต้องทำล่วงหน้าบนเตาปรกติ ต้มเคี่ยวกระดูกให้รสน้ำซุปเข้มข้น ก่อนถ่ายเอาแต่น้ำซุปไปใส่หม้อเสริฟบนโต๊ะอาหารต่อไป

การกินสุกี้ในหน้าหนาวจะดีมาก ๆ น้ำซุปร้อน ๆ บวกกับเตาแก้สร้อน ๆ บนโต๊ะ ทำให้ทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก จะให้ดีก็ต้องมีเครื่องดื่มเย็น ๆ ดับร้อน ไม่ว่าจะเป็นเบียร์เย็น ๆ หรือไวน์แช่เย็นอย่างโรเซ่ (Rose) ชื่นใจจริง ๆ

สรุปว่า Hot Pot วันนั้นออกมาดีมาก น้ำจิ้มอรุ่อย การลวกถูกสุขอนามัย ไม่มีการจุ่มตะเกียบลงในหม้อลวก อีกทั้งยังอินเทรนด์เป็นอาหารสุขภาพที่ดีอีกด้วย แต่ว่าข้อเสียก็มีอยู่อย่างนะ กินเยอะไปหน่อย

Saturday, January 10, 2009

Snowshoeing

วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ลองเดินด้วยรองเท้าหิมะ (Snowshoes) ตัดสินใจไปเดินทางเดินธรรมชาติ (Nature Trail) ในบริเวณสนามกอล์ฟ Uplands



ถึงแม้แดดจะไม่จัด แต่หิมะไม่ตก อากาศถือว่าค่อนข้างดี สนามกอล์ฟนี้ มีเนินสูงรอบ ๆ เขาจึงเปิดให้เป็นที่เล่นสกีด้วย มีผู้คนมาเล่นกันมากมายเพราะไม่ต้องขับรถออกนอกเมืองไกล ๆ ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ๆ หรือผู้เริ่มเล่นสกีใหม่ ๆ เพราะเนินไม่สูงมากและไม่ยาวมากนัก




ทางเดินธรรมชาตินี้อยู่ระหว่างสนามกอล์ฟกับชุมชนแถวนั้น เงียบสงบ มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน หิมะค่อนข้างนุ่มเบา จึงพอเห็นมันติดค้างอยู่ตามต้นไม้เห็นเป็นลำต้นสีน้ำตาลอมเทาปกคลุมด้วยสีขาวสว่าง ดูสวยดี



เราสวมรองเท้าบูธแล้วเหยียบไปบนรองเท้าหิมะอีกทีหนึ่ง เวลาเดินทำให้เท้าไม่จมไปในหิมะ ถึงกระนั้นก็ต้องอาศัยแรงขาและตะโพกยกเท้าเดินไปการออกกำลังกายกลางแจ้งในฤดูหนาวได้ดี ยิ่งทางเดินนี้ผ่านป่า ขึ้นเนินและลงเนิน ได้เหงื่อดีนักแล



นกในบริเวณนี้มีไม่มาก ที่เห็นก็เพียงนกโรบินอยู่คู่หนึ่งและเหยี่ยวบินโฉบอยู่เหนือยอดไม้ เจ้าโรบินตัวอ้วนอกสีเหลืองแก่ บินมาเกาะบนกิ่งไม้ไม่ไกลนัก ทำให้ถ่ายภาพพอดูได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก



ซากต้นไม้ที่ตายแล้วมีนกหัวขวานมาเจาะอยู่หลายรู พวกแมลงกินไม้มาร่วมเจาะเป็นรูเล็ก ๆ เต็มต้น



เดินผ่านลำธารเล็ก ๆ มีต้นไม้คลุมสองข้างทาง หิมะสีขาวเรียงรายอยู่ข้าง ๆ



สะพานไม้ข้ามลำธารมีหิมะสีขาวปกคลุมหนาหลายนิ้ว



ผิวน้ำในลำธารเป็นน้ำแข็งใสมองเห็นพื้นดินสีเข้ม มีผลึกหิมะกองเป็นจุด ๆ ผลึกหิมะเป็นรูปเข็มเห็นได้ชัดเจน จินตนาการได้เป็นละอองดาวสีขาวกระจัดกระจายอยู่บนแผ่นฟ้าสีเข้มในเวลากลางคืน


(Snow crytal form on a frozen creek)


ที่แปลกตาไปกว่านั้นคือ ผลึกน้ำค้างแข็งบนหญ้าสีน้ำตาล มีรูปร่างคล้ายขนนก หรือใบเฟรินแยกช่อออกมา เป็นปฏิมกรรมทางธรรมชาติที่หาดูได้ง่าย ๆ ใกล้ตัว

(pretty frost formed on dry grass)


เดินไป ชมธรรมชาติไป ถ่ายรูปเก็บไว้เตือนความทรงจำ ระยะทางไม่เกินสองกิโลเมตรใช้เวลาประมาณ 45 นาที ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ทางกลางทุ่งน้ำแข็งสวยงาม แถมได้เหงื่อร่างการแข็งแรงดี