Saturday, February 07, 2009

Hot Pot สุกี้ จุ่มจิ้ม หรือแจ่วฮ้อน

ที่เมืองไทยได้กินสุกิ้บ่อย ๆ เพราะเป็นที่นิยมกัน บางทีก็เปลี่ยนบรรยากาศไปกินจุ่มจิ้มกันเบื่อ แต่พอมาอยู่ที่แคนาดาโอกาสได้กินมีน้อยมาก อยู่นี่มาเกือบ 14 ปีแล้ว ถ้าจำไม่ผิดได้กินสุกี้แค่ 3 ครั้ง



สาเหตุที่ไม่ค่อยได้กินเพราะ คนในครอบครัวบ่นว่าไม่ถูกสุขอนามัย เพราะทุกคนบนโต๊ะมักจะจุ่มตะเกียบของตนเองไปในหม้อต้ม อีกทั้งร้านอาหารประเภทนี้นอกจากไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักแล้ว เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารมักเป็นคนจีน ไม่มีน้ำจิ้มอร่อย ๆ ถูกปากคนไทยอย่างเราเท่าไหร่

เพราะไม่ได้กินสุกี้มานาน สุดสัปดาห์นี้เลยวางแผนเป็นอย่างดี ว่าจะต้องทำสุกี้อร่อย ๆ กินที่บ้านให้ได้ บอกสมาชิกที่จะมาทานอาหารเย็นร่วมกันในวันเสาร์ไว้แล้วจะทำ Hot Pot กิน เขาจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า



เราเริ่มด้วยการเตรียมอุปกรณ์ให้ครบครัน โดยการไปหาซื้อหัวเตาเดี่ยวแบบตั้งโต๊ะ แก๊สกระป๋องที่ใช้กับเตา หม้อต้มสุกี้ตื้น ๆ ปากกว้าง ภายในหม้อแบ่งเป็นสองส่วน ตั้งใจจะทำน้ำซุปสุกี้ธรรมดาครึ่งหนึ่งและน้ำซุปแจ่วฮ้อนหรือสุกี้อิสานครึ่งหนึ่ง ตะกร้าสำหรับลวกสุกี้ซึ่งซื้อไว้ตั้งนานแล้วแต่ไม่เคยได้ใช้ ตะเกียบก็มีแล้ว ทัพพีตักน้ำซุป

ทีนี้เพื่อป้องกันการบ่นของสมาชิกในครอบครัวเรื่องไม่ถูกสุขอนามัย เราก็ต้องหาคีมคีบของดิบให้ครบทุกคน เพื่อใช้ในการคีบของดิบลงลวกในตะกร้า เราก็จะได้ใช้ตะเกียบเพื่อการคีบของเข้าปากอย่างเดียว ห้ามจุ่มลงหม้ออย่างเด็ดขาด คิดว่าเป็นการวางแผนที่ดีทีเดียวแหละ

สุกี้กับจุ่มจิ้ม แตกต่างกันทั้งเรื่องน้ำซุป ของที่ใช้ลวก และน้ำจิ้ม

น้ำซุปของสุกี้มักจะเป็นน้ำซุปกระดูกสัตว์ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวหรือเกลือ ในขณะที่น้ำซุปของจุ่มจิ้มเป็นน้ำเปล่าต้ม เิติม ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า หอมซอย รากผักชี ปรุงรสด้วยน้ำปลา



เราทำน้ำซุปของเราโดยใช้กระดูกหมู ปรุงรสด้วยเกลือเติมขิงทุบ สำหรับสุกี้ธรรมดา ในขณะที่แบ่งน้ำซุปเดียวกันนั้นมาเิติม น้ำปลา ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า และรากผักชี เพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและกลิ่นหอมไปด้วยเครื่องเทศไทยสด ๆ เป็นน้ำซุปจุ่มจิ้ม

ในส่วนของของที่ใช้ลวกนั้น จุ่มจิ้ม มักจะใช้เนื้อวัว เช่นเนื้อสัน เนื้อน่องลาย และเครื่องในวัว เช่น ตับ หัวใจ ผ้าขี้ริ้ว โดยเอามาหั่นบาง ๆ พอคำ ในขณะที่สุกี้จะมีของลวกหลากหลายกว่า โดยมี หมู ไก่ เนื้อ อาหารทะเลพวก กุ้ง ปลาหมึก ปลา รวมทั้งพวกลูกชิ้นต่าง ๆ ด้วย

เราก็เลือกของที่เราชอบและคนในครอบครัวทานได้ วันนี้เราก็เลยเตรียม เนื้อน่องลาย เนื้อไก่ ตับหมู และเซี่ยงจี้หมูมาหั่นเอง ส่วนของอาหารทะเลก็มี กุ้ง ปลาหมึกกระดอง หอยเชลล์ตัวใหญ่ ๆ และยังมีเกี้ยวกุ้งถุงเล็กอีกถุงหนึ่ง


ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตของจีน มีเนื้อหั่นบาง ๆ ขายเป็นแพ็ก ๆ สำหรับ Hot Pot โดยเฉพาะ สนนราคาก็ไม่แพงนัก เราก็เลยซื้อเนื้อที่หั่นแล้วมาอีกสามอย่างคือ เนื้อสัน เนื้อแกะ และคอหมู มาด้วย แค่นี้ก็เกินพอสำหรับกินกันห้าคน

สุดท้ายของความแตกต่างระหว่างสุกี้กับจุ่มจิ้มคือน้ำจิ้ม เราก็เลยเตรียมน้ำจิ้มมันทั้งสองอย่างให้จิ้มกินกันอย่างจุใจทั้งสองรสชาิติ

น้ำจิ้มแจ่วนั้นปรกติจะใช้น้ำปลาร้า แต่เพราะคนในครอบครัวไม่ใช่คนไทย จะใช้น้ำปลาร้าซึ่งมีกลิ่นไม่ค่อยโสภาก็อาจทำให้วงแตกได้ ก็เลยใช้น้ำปลาผสมซีอิ้วขาว เติมพริกป่น ข่าป่น ข้าวคั่ว และน้ำมะขาม ปรุงรสให้ออกเค็ม เผ็ด แทรกรสเปรี้ยวเล็กน้อย และหอมข้าวคั่ว เป็นใช้ได้
น้ำจิ้มสุกี้เราใช้เต้าหู้ยี้ ผสมซ้อสพริกศรีราชา ซ้้อสมะเขือเทศ น้ำส้มสายชู น้ำตาล ซีิ้อิ้วขาว น้ำมันงา งาคั่ว กระเทียมและพริกสับ ผักชีซอยละเอียด ผสมให้เข้ากัน ชิมรสให้เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ได้ตามชอบใจ ถ้าผสมดี ๆ รสชาติออกมาอร่อยกว่าน้ำจิ้มสุกี้เอ็มเคเลยล่ะ

แต่ก็มีบางคนที่ไม่กินเผ็ด เราก็เลยเตรียมน้ำจิ้ิมพิเศษเป็นซีอิ้วขาวผสมขิงซอยเป็นเส้นเล็ก ๆ กับต้นหอมซอย แค่นี้เขาก็ชอบใจนักหนาแล้ว

ส่วนผักนั้นเราก็เตรียมผักกาดขาว เห็ดเข็มทอง (Inoki) เห็ดนางรม และผัก Watercress เด็ดเป็นชิ้นเล็กพอลวกได้ง่าย


Hot Pot นั้นจะใช้เวลานานหน่อยก็ตรงต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้ิอมก่อนทานนี่แหละ ทำความสะอาด เด็ดผักให้เรียบร้อย ทำความสะอาดเนื้อสัตว์ ที่ต้องหั่นซอยเป็นชิ้นพอคำก็ทำ แกะเปลือกกุ้งและดึงไส้ให้เรียบร้อย ปลาหมึกก็บั้งและหั่นให้สวยงาม เซี่ยงจี้หรือไตนั้นต้องผ่าเอา่ท่อปัสสะวะสีขาวข้่างในออกให้หมด ไม่งั้นกลิ่นไม่ค่อยดีนัก ปรุงรสเนื้อสัตว์เหล่านี้ด้วย ซีอิ้วขาว น้ำมันงา ขิงซอย และต้นหอมซอย แต่สำหรับตับและเซี่ยงจี้หมูนั้นเราปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยและเติมนมเล็กน้อย หมักให้เข้าเนื้อ เนื้อจะนุ่มและรสชาติจะดีเวลาลวกกิน

มื้อนี้มีคนชอบกินเต้าหู้หลายคนเลยเพิ่มเต้าหู้อ่อนไปด้วย

จัดเนื้อสัตว์และผักในจานแปล เอาเนื้อรวมกับเนื้อ ผักรวมกับผัก จัดวางให้พอกับสมาิชิกร่วมโต๊ะแต่ละด้าน เพื่อให้ทุกคนหยิบได้สะดวก ไม่ต้องไขว่มือไปมา


น้ำซุปเราก็ต้องทำล่วงหน้าบนเตาปรกติ ต้มเคี่ยวกระดูกให้รสน้ำซุปเข้มข้น ก่อนถ่ายเอาแต่น้ำซุปไปใส่หม้อเสริฟบนโต๊ะอาหารต่อไป

การกินสุกี้ในหน้าหนาวจะดีมาก ๆ น้ำซุปร้อน ๆ บวกกับเตาแก้สร้อน ๆ บนโต๊ะ ทำให้ทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก จะให้ดีก็ต้องมีเครื่องดื่มเย็น ๆ ดับร้อน ไม่ว่าจะเป็นเบียร์เย็น ๆ หรือไวน์แช่เย็นอย่างโรเซ่ (Rose) ชื่นใจจริง ๆ

สรุปว่า Hot Pot วันนั้นออกมาดีมาก น้ำจิ้มอรุ่อย การลวกถูกสุขอนามัย ไม่มีการจุ่มตะเกียบลงในหม้อลวก อีกทั้งยังอินเทรนด์เป็นอาหารสุขภาพที่ดีอีกด้วย แต่ว่าข้อเสียก็มีอยู่อย่างนะ กินเยอะไปหน่อย

Saturday, January 10, 2009

Snowshoeing

วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ลองเดินด้วยรองเท้าหิมะ (Snowshoes) ตัดสินใจไปเดินทางเดินธรรมชาติ (Nature Trail) ในบริเวณสนามกอล์ฟ Uplands



ถึงแม้แดดจะไม่จัด แต่หิมะไม่ตก อากาศถือว่าค่อนข้างดี สนามกอล์ฟนี้ มีเนินสูงรอบ ๆ เขาจึงเปิดให้เป็นที่เล่นสกีด้วย มีผู้คนมาเล่นกันมากมายเพราะไม่ต้องขับรถออกนอกเมืองไกล ๆ ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ๆ หรือผู้เริ่มเล่นสกีใหม่ ๆ เพราะเนินไม่สูงมากและไม่ยาวมากนัก




ทางเดินธรรมชาตินี้อยู่ระหว่างสนามกอล์ฟกับชุมชนแถวนั้น เงียบสงบ มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน หิมะค่อนข้างนุ่มเบา จึงพอเห็นมันติดค้างอยู่ตามต้นไม้เห็นเป็นลำต้นสีน้ำตาลอมเทาปกคลุมด้วยสีขาวสว่าง ดูสวยดี



เราสวมรองเท้าบูธแล้วเหยียบไปบนรองเท้าหิมะอีกทีหนึ่ง เวลาเดินทำให้เท้าไม่จมไปในหิมะ ถึงกระนั้นก็ต้องอาศัยแรงขาและตะโพกยกเท้าเดินไปการออกกำลังกายกลางแจ้งในฤดูหนาวได้ดี ยิ่งทางเดินนี้ผ่านป่า ขึ้นเนินและลงเนิน ได้เหงื่อดีนักแล



นกในบริเวณนี้มีไม่มาก ที่เห็นก็เพียงนกโรบินอยู่คู่หนึ่งและเหยี่ยวบินโฉบอยู่เหนือยอดไม้ เจ้าโรบินตัวอ้วนอกสีเหลืองแก่ บินมาเกาะบนกิ่งไม้ไม่ไกลนัก ทำให้ถ่ายภาพพอดูได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก



ซากต้นไม้ที่ตายแล้วมีนกหัวขวานมาเจาะอยู่หลายรู พวกแมลงกินไม้มาร่วมเจาะเป็นรูเล็ก ๆ เต็มต้น



เดินผ่านลำธารเล็ก ๆ มีต้นไม้คลุมสองข้างทาง หิมะสีขาวเรียงรายอยู่ข้าง ๆ



สะพานไม้ข้ามลำธารมีหิมะสีขาวปกคลุมหนาหลายนิ้ว



ผิวน้ำในลำธารเป็นน้ำแข็งใสมองเห็นพื้นดินสีเข้ม มีผลึกหิมะกองเป็นจุด ๆ ผลึกหิมะเป็นรูปเข็มเห็นได้ชัดเจน จินตนาการได้เป็นละอองดาวสีขาวกระจัดกระจายอยู่บนแผ่นฟ้าสีเข้มในเวลากลางคืน


(Snow crytal form on a frozen creek)


ที่แปลกตาไปกว่านั้นคือ ผลึกน้ำค้างแข็งบนหญ้าสีน้ำตาล มีรูปร่างคล้ายขนนก หรือใบเฟรินแยกช่อออกมา เป็นปฏิมกรรมทางธรรมชาติที่หาดูได้ง่าย ๆ ใกล้ตัว

(pretty frost formed on dry grass)


เดินไป ชมธรรมชาติไป ถ่ายรูปเก็บไว้เตือนความทรงจำ ระยะทางไม่เกินสองกิโลเมตรใช้เวลาประมาณ 45 นาที ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ทางกลางทุ่งน้ำแข็งสวยงาม แถมได้เหงื่อร่างการแข็งแรงดี

Friday, December 26, 2008

กิจกรรมตอนหน้าหนาว

หน้าหนาวที่โตรอนโตเนี่ยอุณภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียส เมื่ออากาศหนาวอย่างนั้น โอกาสที่จะทำกิจกรรมกลางแจ้งระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ก็จะน้อยกว่าตอนหน้าร้อน



ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าผู้คนจะจับเจ่าอยู่แต่ในบ้านเพียงอย่างเดียว กิจกรรมหรือกีฬาที่พอจะทำได้ตอนหน้าหนาวก็ยังพอมีให้เลือกอยู่บ้าง เช่น การไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในอาคารทีเรียกว่าอารีน่า (Arena) ซึ่งเป็นอาคารหลังคาสูง ตรงกลางเป็นสนามฮ็อกกี้ รอบ ๆ เป็นอัฒจรรย์สำหรับผู้ชม ซึ่งก็จะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมาใช้บริการทั้งในการเล่นฮ็อกกี้และสเก็ตน้ำแข็ง โดยแบ่งเวลาเป็นช่วง ๆ ไป



ที่ศาลากลางโตรอนโตมีสระน้ำขนาดใหญ่ ในฤดูหนาวเขาเอามาทำเป็นลานสเก็ตเปิดให้ประชาชนโดยทั่วไปมาเล่นฟรี ๆ บางเมืองอย่างมอนทรีออล เมื่อน้ำในแม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งเขาก็เอามาทำเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งตามธรรมชาติกลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในโลกไปเลย



ถ้าไม่ชอบสเก็ตก็ไปเล่นสกีได้ อาจเป็นสกีลงเนิน(Downhill or Alpine skiing) ที่สกีที่ราบ (Cross country skiing) สนามสกีมีให้เลือกทั้งของรัฐและเอกชน ทั้งนี้เทศบาลเมืองโตรอนโตได้นำเอาสวนสาธารณะบางแห่งที่มีเนินมาทำเป็นสถานที่เล่นสกีลงเนิน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขับรถไกล ๆ ไปสกีนอกเมือง โดยเฉพาะมือนักสกีมือใหม่ ก็ใช้สถานที่เหล่านี้ฝึกซ้อมไปก่อนจนคล่อง ค่อยออกไปเล่นสกีตามเนินเขาที่สูงกว่านี้ทางตอนเหนือของจังหวัด



สำหรับผู้ไม่เคยเล่นสกี หรือมือใหม่ยังไม่อยากเก่ง เขาก็มีอาจารย์ไว้สอนตามสถานที่เล่นสกี รวมทั้งมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เช่าด้วย ทั้งไม้สกี ไม้เท้า และรองเท้า สนนราคาไม่แพงเกินไปนัก



ส่วนสกีที่ราบก็เล่นได้ตาม Trial ที่เขามีให้ทั่วไป สกีอย่างหลังนี้สนนราคาถูกว่าสกีลงเนิน ลากไปตามทางสูง ๆ ต่ำ ๆ ทำให้ใช้พลังงานมากกว่าสกีแบบลงเนินอีกด้วย เอาไว้ออกกำลังกายลดน้ำหนักได้ดีนะ



ถ้าไม่อยากเล่นสกี อาจจะอยากลองสกีบอร์ดดูก็ได้ อย่างหลังนี้เป็นที่นิยมสำหรับเด็กรุ่นใหม่ อาจเป็นเพราะมันผาดโผนกว่ามั้ง คนแก่อย่างเราไม่กล้าลอง กลัวแข้งขาหักเสียก่อน

สำหรับผู้ที่ไม่ชอบกิจกรรมที่ใช้แรงและความสามารถเยอะ ช่วงหลังนี้รองเท้าหิมะหรือ snowshoes ก็เป็นที่นิยม รองเท้าหิมะมีรูปร่างคล้ายตะแกรงมีที่ล็อกรองเท้าด้านบน เวลาสวมก็แค่วางรองเท้าธรรมดาลงไปและล็อกให้เรียบร้อย เวลาเดินบนหิมะมันก็จะไม่จม ทำให้เดินได้ดีขึ้นกว่ารองเท้าธรรมดา เอาไว้เดินตามทางเดินในสวนสาธารณะหรือทุ่งกว้าง สูดอากาศบริสุทธิ์ในหน้าหนาว กลางทุ่งหิมะขาวโพลนและฟ้าสีใส



วันไหนอากาศดี ๆ แดดจัด ๆ ก็อาจจะออกไปเดินทางตามในสวนสาธารณะต่าง ๆ ที่เขาเปิดให้เดินได้ เพียงแค่ ใส่ถุงเท้า สวมรองเท้าบู้ธ ใส่เสื้อผ้ากันความหนาว หมวก ถุงมือ ตามอัธยาศัย เห็นนกหลากชนิด น้ำแข็งข้างทาง ต้นหญ้าแห้ง ๆ กลางหิมะสีขาวสวย แปลกตาไปอีกแบบ สำหรับเราแล้วมันดีกว่านังจับเจ่าอยู่กับบ้านหรือออกกำลังกายในสถานฟิตเนสอีกนะ

Saturday, December 06, 2008

Royal Ontario Museum – ROM

โรยัลออนทาริโอมิวเซี่ยม เรียกสั้น ๆ ว่ารอม ตั้งอยู่ในกรุงโตรอนโต เป็นมิวเซียมสำคัญสำหรับอารยธรรมโลกและประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในทวีปอเมริกาเหนือ และใหญ่ที่สุดในแคนาดา



มีสิ่งของที่แสดงกว่าหกล้านชิ้น ที่มีชื่อเสียงและนิยมดูกันก็เช่น ไดโนเสาร์ ศิลปกรรมของโลก ไม่ว่าจะเป็นของอัฟริกา เอเชีย หรือยุโรป รวมทั้งประวัิติศาสตร์ของแคนาดา เป็นต้น



พิพิธภัณฑสถานนี้ตั้งบนถนน Bloor Street ตัดกับ Avenue Road ในตัวเมืองโตรอนโต ไม่ไกลจากป้ายรถไฟใต้ดิน ทำให้ค่อนข้างสะดวกสำหรับผู้เ้ข้าชม แต่ถ้าจะขับรถไปเองก็หาที่จอดรถได้ง่าย ไม่ลำบาก



เราไปถึงพิพิธภัณฑสถานเวลาประมาณ 11.30 นาฬิกา คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แลกบัตรได้ตั๋วมาสองใบ ใบแรกสำหรับเขัาชมนิทรรศการเพชร และใบที่สองสำหรับพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ ที่เหลือ



ทางเข้าเดิมของพิพิธภัณฑ์สวยมาก ประตูโค้ง เพดานประดับแบบโมเสค



นิทรรศการเพชรจัดอยู่ชั้นสองใต้ดิน เขาห้ามถ่ายรูป ได้แต่เดินดู ธรรมชาิติวิทยาของการกำเนิดเพชร การทำเหมืองเพชร และเพชรสวย ๆ หรือ เก่าแก่ บางส่วน ทั้งที่เจียรนัยแล้วและยังไม่ได้เจียรนัย ดาราของงานนี้คือเพชรเจียรนัยที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกชื่อ The Incomparable Diamond หนัก 407 กะรัต


รูปไปลอกเขามาจาก Photo ©Roger Cullman
http://www.rogercullman.com/

จากนั้นเราก็ไปชั้นสองเพื่อไปดูไดโนเสาร์ มีโครงกระดูก ประวัติของไดโนเสาร์ หรือสัตว์ดึกดำบรรพ์หลายตัว ให้ดูและศึกษา



ถัดไปเป็นห้องแสดงนก ถ้ำค้างคาว ชีววิทยาของโลกไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่ สัตว์น้อย แมลง เป็นต้น


ชั้นสามเป็นการแสดงอารยธรรมโลก แบ่งเป็นโซน ๆ ตามภูิิมิศาสตร์ของโลก เราเห็นหน้ากากน่าสนใจจากเผ่าต่าง ๆ ในอาฟริกา




มัมมี่จากอียิปต์ อาวุธและรูปปั้นต่าง ๆ จากเอเชีย แผ่นแกะไม้สวย ๆ จากอินเดีย



เครื่องถ้วยชามจากยุโรป รูปปั้นและของใช้จากกรีก เป็นต้น




กลับลงมาชั้ืนหนึ่งเพื่อไปดูส่วนของจีนและญี่ปุ่น มีทั้งสิ่งปลูกสร้าง ข้าวของเครื่องใช้ รถลากสวย ๆ คานหามสวยงาม 4 ชั่วโมงผ่านไป ยังไม่ได้ไปดูชั้น 4 และ 5 แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว

Wednesday, October 15, 2008

The Falls in the Fall

หลังจากทำงานหนัก ๆ ติดต่อกันมาหลายสัปดาห์ และพอมีวันหยุดเหลืออยู่บ้าง ก็เลยลาพักผ่อนต่ออีกสองวันช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า หยุดสั้น ๆ อย่างนี้ ไปที่ไหนก็ไม่ดีเท่าน้ำตกไนแอการ่า เพราะใช้เวลาขับรถแค่เกือบ ๆ สองชั่วโมง มีที่สวย ๆ ให้ชมตลอดทาง


เนื่องจากไปเที่ยวน้ำตกบ่อย ๆ ไปเที่ยวนี้ก็ใช้เส้นทางเดิม แวะเที่ยวเมือง Niagara-on-the-lake ก่อน เพราะชอบดูสวนองุ่นข้างทาง บ้านสวย ๆ ในสวนองุ่น ในเมื่อเรามีเองไม่ได้ก็ต้องชมของชาวบ้านเขาแหล่ะนะ




แวะกินอาหารเที่ยงที่ห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง Niagara-on-the-lake ชมวิวท่าเรือสวย ๆ แล้วก็ขับรถไปน้ำตกโดยใช้ถนน Niagara Parkway ซึ่งก็ค่อนข้างแปลกใจปนตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าใบไม้แถบนี้จะเปลี่ยนสีแล้ว เลยตื่นตาตื่นใจไปกับใบไม้สีสวย ๆ ตลอดทางเส้นทางสายไวน์เส้นนี้



เมื่อเราแวะชมวิวที่จุดชมวิวข้างทาง รถโฟล์กสวาเก้นโบราณคันนี้ก็แวะมาจอดชมวิวกับเขาด้วย คนรุมกันถ่ายรูปมากพอ ๆ กับจุดชมวิวเลยทีเดียว ดูเอาเองนะว่าเท่หรือเปล่า



แวะชมนาฬิกาดอกไม้ คนก็เยอะเหมือนเดิม นั่งและยืนถ่ายรูปกันเป็นคู่ ๆ หรือเป็นกลุ่ม ๆ ตลอดเวลา



ข้าง Niagara Parkway มีสวนสาธารณะเป็นหย่อม ๆ ไว้ปิกนิก หรือนั่งเล่น นอนเล่น ตลอดทาง มีลู่ให้ปั่นจักรยานหรือเดินเล่น โดยตลอดด้วย ใบไม้ของต้นไม้ในสวนเหล่านี้เปลี่ยนสีเป็นสีส้ม แดง หรือเหลือง สวยงาม



แวะที่วังน้ำวน (Niagara Whirlpool) น้ำเชี่ยวเป็นสีเขียวอมเทาตัดกับไบไม้สีส้ม เป็นภาพที่น่าดูทีเดียว



เช็กอิน เรียบร้อย แอบไปเสี่ยงโชคที่คาสิโนเล็กน้อย โชคไม่เข้าข้าง เลยต้องรีบกลับ เดี๋ยวไม่มีเงินกินข้าว ภาพข้างบนเป็นลานจอดรถที่หอสภายลอน




ตอนเย็นเราไปทานอาหารที่หอสกายลอน (Skylon tower) มานี่ตั้งหลายที ไม่รู้สึกว่าอยากขึ้น ก็เลยขึ้นซะเลย ห้องอาหารเป็นแบบพี้นหมุน รอบหนึ่งใช้เวลา 1 ชั่วโมง คนเยอะ อีกทั้งมืดแล้ว วิวกลางคืนไม่ค่อยสวย อาหารก็งั้น ๆ แพงอีกด้วย


มาแถบไนอะการ่า ไม่ตีกอล์ฟ ก็ไม่ครบรสสิใช่มั้ย วันรุ่งขึ้นก็เลยไปออกรอบ วิวรอบ ๆ สนามกอล์ฟสวยมาก ภาพข้างบนเป็นคลองเล็ก ๆ ข้างสนามกอล์ฟ




โรงเก็บของของสนามกอล์ฟเขาล่ะ ด้านหลังเป็นเนินเขาไนอะการ่า (Niagara escarpment) เนินเขาเตี้ยแต่ยาวที่พาดผ่านอเมริกาและแคนาดา มีความยาวในออนทาริโอถึง 725 กิโลเมตร สูงสุดแค่ 335 เมตรเท่านั้น ช่วงนี้ต้นไม้บนเนินเขาเปลี่ยนสีสวยสดน่าดูชม



ตีกอล์ฟเสร็จก็ไปเดินเล่นเลียบน้ำตก คนเยอะเหมือนเดิม ภาพข้างบนคือน้ำตกอเมริกัน และน้ำตกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเล็ก ๆ ทางซ้ายมือ ปริมาณน้ำที่ผ่านสองน้ำตกนี้สู่แม่น้ำไนอะการ่ามีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์


น้ำตกเกือกม้าฝั่งแคนาดา มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 90 เปอร์เซ็นต์ พร้อมเรือเมดออฟเดอะมิสต์ที่พาคนชมน้ำตกในแม่น้ำ มีเสื้อกันฝนสีฟ้าให้ใส่กันเปียกทุกคน




ใครที่อยากสัมผัสละอองน้ำตก นอกจากทางเรือเมดออฟเดอะมิสต์ ก็ไปเดินหลังน้ำตก เขามีเสื้อกันฝนให้ใส่ เห็นเป็นสีเหลือง ๆ ข้าง ๆ น้ำตก ก็ขนาดเราเดินอยู่ข้างบนยังเปียกเลย




สายรุ้งหลากสี มีให้เห็นตลอดปี วันนี้เห็นถึงสองสายแน่ะ เสียดายถ่ายรูปออกมาไม่ดีเท่าไหร่



ตกเย็นเราไปทานอาหารอิตาเลี่ยนเจ้าประจำกลางเมือง อาหารอร่อย มีไวน์ให้เลือกเยอะ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนกิจประจำเสียแล้ว เพราะมาบ่อย ๆ รุ่งขึ้นก็ตื่นสาย ๆ แวะซื้อไวน์ผลไม้เจ้าอร่อยซะโหลหนึ่ง จริง ๆ แล้วไวน์เจ้านี้ก็มีขายในร้านเหล้าของออนทาริโอแหละ เพียงแต่มีไม่ครบรส ก็เลยต้องแวะซื้อถึงฟาร์ม ไวน์ผลไม้มีรสหวาน เอาไว้ดื่มหลังอาหาร ในขณะที่พวกผู้ชายเขาดื่มด่ำกับสก็อตช์วิสกี้บ่มนานรสเก่าแก่กัน ผู้หญิงก็โจ้ไวน์ผลไม้อร่อย ๆ


จบช่วงเวลาแห่งความสุขแถบน้ำตกแต่เพียงเท่านี้