Saturday, November 20, 2010

Sedona – Red rock country I

Scenic Drive

วันที่สี่ของทริปนี้ เราขับรถจาก Scottsdale ไปยังเมือง Sedona ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงได้ Sedona เป็นเมืองแห่งหินแดง เพราะเมืองตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาหินทรายที่ส่วนใหญ่เป็นสีแดง แต่ก็มีสีเทาด้วย ภูเขาหินทรายนี้บางส่วนสลายตัวลงทำให้เห็นหินเป็นชั้น ๆ สวยงาม



หินที่มีสีแดงเรียกว่า Schnebly Sandstone ในขณะที่หินสีเทาเรียกว่า Coconino Sandstone พื้นที่แถบนี้อยู่ในเขตวนอุทยานแห่งชาติ Coconino



จากพื้นที่ราบที่เป็นทะเลทราย ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 4000 ฟุต Sedona ให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ที่เมือง Banff หรือ Jasper ในเทือกเขาแคเนเดี่ยนร๊อกกี้เลย คงเป็นเพราะเป็นเทือกเขาเดียวกันเพียงแต่ต่างเส้นละติจูดเ่ท่านั้นเอง



วันนี้เราขับรถไปตาม Scenic Drive เส้นทาง Red Rock Loop Rd และ Dry Creek Road



เ้ส้นทาง Red Rock Loop Rd จะเห็น Cathedral Rock ตั้งตระหง่าน ท่ามกลางใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีเพื่อผลัดใบ



เราแวะที่ Crescent Moon Ranch เขตอุทยานที่ใกล้กับ Cathedral Rock มากที่สุด



ที่นี่เป็น Ranch เก่า ได้บรรยากาศคาวบอยเล็ก ๆ มีรั้วไม้ยาว ๆ กระท่อมเก็บของ มีกังหันเก่า ๆให้ดูด้วย



ที่ Sedona มีลำธารชื่อ Oak Creek เป็นลำธารหลักไหลผ่าน แต่เป็นลำธารที่ยาวมาก ไปทางไหนก็จะเห็น



ภาพนี้เป็น Cathedral Rock มี Red Rock Crossing เป็นฐาน ถ้ามาฤดูน้ำหลาก จะมองไม่เห็นหินเพราะน้ำจะท่วมบริเวณนี้



เส้นทาง Dry Creek Road จะเห็นหินปล่องไฟ Chimney Rock ตั้งเด่นเป็นสง่า



ขับอ้อม ๆ Capitol Butte แต่ถ่ายรูปลำบากเพราะถนนแคบ และรถเยอะ ไม่สามารถจอดรถข้างทางได้ง่าย



วันนั้นเราไม่ได้ทำอะไรมาก แวะไปเช็กอินที่ Lodge at Sedona ซึ่งเป็น Bed and Breakfast สถานที่ ๆ เราจะได้พักในช่วง 3 คืนข้างหน้า สถานที่กว้างขวาง ห้องก็ใหญ่ดี มีเตาผิงในห้องด้วย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เขาเสริฟอาหารว่างตอนเย็นพอดี เป็น Brie ชีส กินกะแบล็กแบรรี่และหอมแดงอบ ราดด้วยแบล็กแบรรี่ไวน์ซ้อสอร่อยดี



อาหารเย็นหากินง่าย ๆ คืนนั้น นอนหลับพักผ่อนเตรียมตัวลุยวันต่อไป

Scottsdale – golfers’ heaven

Scottsdale เป็นเมืองในรัฐ Arizona ห่างจากแอร์พอร์ทที่ Phoenix ประมาณครึ่งชั่วโมง เราจองห้องที่ Inn at Eagle Mountain ไว้ 3 วัน ไม่มีแผนจะทำอะไรมากมายนอกจากตีกอล์ฟสองรอบ ที่เหลือก็พักผ่อนไปตามเรื่อง



เพราะเมืองตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย Sonoran สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองจึงเป็นทะเลทรายมีภูเขาเตี้ย ๆ อยู่ประปราย มองไปทางไหนเห็นแต่กระบองเพ็ชรพันธุ์สูง ที่เรียกว่า Saguaro Cactus เต็มไปหมด



ห้องพักของเรากว้างขวาง เตียงขนาดใหญ่ มีที่นั่งเล่นหน้าเตาผิง หลังห้องมองเห็นวิวสนามกอล์ฟกลางหุบเขาสวยงาม



สนามกอล์ฟอยู่ในสภาพดีมาก ๆ หญ้าเขียวสดถึงแม้จะอยู่กลางทะเลทราย ทุกหลุมลาดเอียง ชันบ้าง ไม่ชันบ้าง เพราะอยู่ระหว่างหุบเขา รับรองหาหลุมราบเรียบไม่เจอ




ในสนามมีสัตว์ป่ามากมาย ที่เห็นบ่อยที่สุดคือเจ้านกกระทาแกมเบิ้ล Gamble Quail ซึ่งตัวผู้จะมีหน้าและหัวสีดำคาดขาว มีหงอนสูง



ส่วนตัวเมียก็เป็นสีน้ำตาลพื้น ๆ เหมือนสัตว์ทั่วไปที่ตัวผู้สวยกว่าตัวเมีย ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง ๆ



Road Runner นกในการ์ตูนมีมากแต่มันไวเหลือเกินถ่ายรูปไม่ทัน เอาเจ้า Jack Rabbit กระต่ายป่าตัวเพรียว ไปดูกันก่อนนะ



เย็นวันหนึ่งกำลังจะขับรถไปหาข้าวทาน เจ้านกเขาคู่นี้ เกาะกิ่งไม้นิ่งสงบ หลบความร้อนจากแสงตะวัน ไม่กลัวคนด้วยนะ จอดรถถ่ายรูปตั้งหลายช็อท มันก็ยังไม่ไหวติง



วันนั้นโชคดี ถ่ายรูปนกเขาเสร็จ ฝูงหมูป่าที่เรียกว่า เฮเวลีน่า (Javelina) ทั้งลูกเด็กเล็กแดง พ่อแม่และปู่ย่าตายาย กำลังพากันวิ่งข้ามถนนที่รีสอร์ทอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ หมูวัยรุ่นตัวหนึ่งหยุดมองสาวไทยคนสวย ให้ถ่ายรูปเฉยเลย เสียดายได้มาแค่รูปเดียว



ห้องพักเป็นแบบรวมอาหารเช้าซึ่งเราต้องไปนั่งกินที่คลับเฮาส์ของสนามกอล์ฟ วิวสวยอีกเช่นเคย ที่นี่เรากินแพนเค็กทุกเช้า เพราะเขาทำได้ดีมาก แป้งนุ่ม สุกกำลังดี ไม่มันเยิ้ม กินกับไส้กรอก หรือไข่ หรือเบคอนสลับกันไป แบบไม่กลัวความอ้วนถามหาเล้ย...



อาหารเย็นวันแรกเราก็ไปกินอาหารไทย รสชาติใช้ได้ แต่ไม่มีอะไรโดดเด่น วันที่สองเราไปกินอาหารอิตาเลี่ยน เป็นร้านอาหารธรรมดา ไม่หรูหราอะไร แต่อาหารอร่อยมาก ราคาไม่แพงเหมือนอาหารไทย ถ้าใครไปแถวนั้น ลองดูนะคะ ชื่อร้าน Nick’s Italian Restaurant



วันที่สามเราไปทานอาหารท้องถิ่นหรือที่เรียกว่า South Western Cuisine ซึ่งจะมีอิทธิพลของอาหารแม็กซิกัน ไปร้านอาหารชื่อ Blue Adobe เริ่มต้นด้วย Tortilla Chips กินกับ Salsa และอะโวกาโด้บดที่เรียกว่า Guacamole



ส่วนอาหารหลักก็มี Shrimp Cocktail Relleno , Lobster Tamale with Mango Salsa & Raspberry Chipotle และ Enchiladas รวม Margarita และ Beer ด้วย ยังถูกกว่าอาหารไทยหรืออาหารอิตาเลี่ยนที่ไปกินวันก่อนอีก แถมร้านก็หรูกว่าด้วย เอากับเขาสิ



พักที่ Scottsdale สามวัน มีความสุขเต็มที่ ตีกอล์ฟดีด้วย จากนั้นเราก็ต้องเดินทางต่อไปยังเมืองหินแดง Sedona เขาว่าวิวสวยมากเลยมาคอยดูกันนะ

Monday, October 11, 2010

Fall 2010

ฤดุใบไ้ม้ร่วงเป็นฤดูโปรดของเรา เพราะใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงที่มีสีผสมระหว่างสีเขียว เหลือง ส้ม แดง และน้ำตาล มองไปทางไหนก็สวย



ต้นเมเปิ้ลมีหลายพันธุ์ เป็นต้นไม้เอกของฤดูนี้ ตอนที่มันยังไม่เปลี่ยนสี บางทีเราก็เห็นใบเขียว ใบออกม่วง ๆ หรือออกเหลือง ๆ ตอนที่เปลี่ยนสีแล้ว จะเป็นสีแดง ส้ม หรือเหลืองอมแดง สวยมาก ๆ



ต้น Birch ตอนเปลี่ยนสีใบเป็นสีเหลืองโทนเดียว แต่เพราะลำต้นเป็นสีขาว ทำให้เกิดสีตัดกันสวยงาม



ปรกติทุก ๆ ปี เราจะขับรถกินลม เที่ยวชมใบไม้ช่วงฤดูกาลวันขอบคุณพระเจ้า แต่ปีนี้มีโปรแกรมตีกอล์ฟ ก็เลยได้ถ่ายรูปจากสนามกอล์ฟแทน



วันนี้ฟ้าใส ทำให้สียิ่งสวย เพราะมีสีฟ้าผสมปุยเมฆสีขาวเป็นฉากหลัง



นอกจากนั้นเขาก็ยังเอาฟักทองลูกยักษ์มาตกแต่งสนามเป็นจุด ๆ ไป ก็สวยไปอีกแบบ



น่าเสียดายที่บางจุดเราแวะถ่ายรูปไม่ได้ เพราะเวลาไม่มี หรือแสงเงา ไม่เป็นใจ



ถึงกระนั้นรูปก็ยังออกมาสวยพอใช้



อีกไม่กี่วันใบไม้ก็คงร่วงโรย ต้องคอยไปอีกปี กว่าจะได้เห็นอีก เก็บความทรงจำไว้ด้วยกล้ิองดิจิตอลตัวเล็ก ๆ ไว้ดูเล่นช่วงที่เราต้องรอ

Saturday, October 02, 2010

Hilton Falls Autumn Hike

เผลอแป็ปเดียวใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว วันนี้ถึงแม้ฝนจะตกปรอย ๆ ก็ยังไม่เปลี่ยนใจจะไปดูใบไม้สวย ๆ ที่น้ำตกฮิลตัน (Hilton Falls) อยู่ในเขตเมือง Milton จากบ้านไปก็ขับรถบนทางหลวง 401 (HWY 401) ไปทางทิศตะวันตก ไปออกที่ Highway 25 ไปทางเหนือ แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนCampbellville Rd ไปทางทิศตะวันตกอีกประมาณ 5 กิฺโลเมตร ก็จะถึง Hilton Falls Conservation



ก่อนถึง Hilton Falls Conservation บนถนน Campbellville Rd มีฟาร์มม้าที่สวยที่สุดเลย เพราะด้านหลังเป็นสันเขาไนแอการ่า (Niagara Escarpment) ซึ่งเป็นเทือกเขาเตี้ย ๆ เทือกเดียวในออนทาริโอ



ยิ่งฤดูนี้ใบไม้เป็นสีเหลืองแดงตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียวสวย มีรั้วไม้สีเข้มเป็นแนวยาวน่าดูยิ่ง



จากที่ทำการของ Hilton Falls Conservation จะมองเห็นหน้าผา Rattlesnake point ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสันเขาไนแอการ่า



ที่นี่มี Trails ให้เลือกเดิน 3 Trails ด้วยกัน แต่เนื่องจากฝนตก เราก็เลยเลือกที่จะเดินเส้นทางเดียว เป็นระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร



ตอนนี้ใบไม้ส่วนใหญ่เป็นสีเหลือง มีใบร่วงหล่นบนพื้นทับถมในปริมาณพอเหมาะ ทำให้สวยงาม



ต้นเมเปิ้ลบางพันธุ์มีใบสีส้มแดง ตัดกับลำต้นสีเข้ม เป็นพันธุ์ที่สวยที่สุด และมักจะเปลี่ยนสีก่อนพันธุ์อื่น ๆ



ระหว่างทางจะเห็นหนองน้ำที่เกิดจากเขื่อนกั้นน้ำ ซึ่งก็มีลำธารเล็ก ๆ ไหลลงเขื่ีอนด้วย ฤดูนี้มีน้ำปริมาณไม่มากนัก



เราจะเดินไปดูน้ำตก ก็จะต้องมีการขึ้นเขาเล็กน้อย ไม่งั้นน้ำตกไม่ได้ใช่มั้ย เขาที่ว่าก็เป็นส่วนหนึ่งของ Niagara Escarpment นั่นเอง เพราะเขาที่นี่เกิดจากการสลายตัวของดินและหิน เวลาผ่านไปเป็นล้านปี ส่วนที่มันอ่อนนุ่มหน่อยก็ค่อย ๆ หายไป เหลือแต่ชั้นหินแข็ง ๆ ให้เราเห็น ณ ปัจจุบัน



Trails ที่นี่เป็น Trail เอนกประสงค์ หน้าร้อนเป็นที่เดิน หรือปั่นจักรยาน หน้าหนาวเป็นที่เล่นครอสคันทรี่สกี และเป็นที่นิยมของคนทั่วไป



เดินไม่นานก็ได้ยินเสียงน้ำไหล แสดงว่าใกล้น้ำตกเข้ามาเต็มที ส่วนของลำธารมีขนาดไม่ใหญ่ และมีน้ำเพียงเล็กน้อย ถ้ามาฤดูสปริงจะมีน้ำมากกว่านี้



และแล้วเราก็เห็นน้ำตกหล่นจากหน้าผาสูงประมาณ 10 เมตร เราสามารถเิดินลงบันไดไปดูด้านล่างได้



ข้างน้ำตกใหญ่จะเห็นหน้าผ้าเป็นหินชั้น มีม่านน้ำตกบาง ๆ และมอสสีเขียวปกคลุม



บริเวณน้ำตกมีใบเมเปิ้ลแดงหล่นเต็มไปหมด ดูเป็นพื้นพรมสีแดงสวยดี



ระหว่างเดินกลับมาที่จอดรถ เห็นใบเมเปิ้ลสีแดงทับใบสีเหลืองบนพื้น คิดว่านักท่องเที่ยวบางคนคงทำไว้เพื่อถ่ายรูป



ขอนไม้บางขอนมีเห็ดขึ้นเต็มเพราะความชิ้นสูง ไม่รู้กินได้หรือเปล่า



ต้นไม้บางต้นก็มีรูปร่างแปลก ๆ ถ่ายรูปเพลินดีเหมือนกัน



เดินไป ชมวิวไป เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า ๆ ฝนยังตกพรำ ๆ แต่ก็คุ้มล่ะ