พูดถึงเรื่องเที่ยวก็ต้องพูดเรื่องกิน ไม่งั้นมันไม่ครบรส
นักท่องเที่ยวบนเกาะส่วนใหญ่รับประทานอาหารในโรงแรมที่พัก เชฟใหญ่ประจำแต่ละโรงแรมมักเป็นเชฟผิวขาวนำเข้ามาจากต่างประเทศ อาหารที่โรงแรมจึงเป็นอาหารแบบโรงแรม สามดาว ขึ้นไป มีการจัดแต่งอย่างสวยงาม รสชาติของอาหารก็เป็นไปตามเชฟแต่ละคน แต่ก็ไ่ม่ใช่อาหารท้องถิ่นเลย

ถ้าใครอยากทานอาหารท้องถิ่นก็ต้องออกไปทานข้า่งนอกโรงแรม อาหารท้องถิ่นที่เกาะนี้ก็คล้าย ๆ เกาะอื่น ๆ ในแถบทะเลแคริบเบี้ยน คือ มี บาร์บีคิวแบบเวสต์อินดี้ โดยใช้ไก่ หรือซี่โครง ทำออกมาเนื้อนุ่มชุ่มซ้อส

มีแกงแพะ เนื้อ หรือไก่ เป็นแกงกะหรี่สไตล์แคริบเบี้ยนอีกเหมือนกัน รสชาติจัดจ้าน เสริฟกับข้าวหุงผสมถั่ว และสลัดเล็ก ๆ

แต่อาหารที่คนท้องถิ่นแนะนำว่าต้องลองคือ ฟุนจี้ (Fungee) ทำจากข้าวโพดป่น (Cornmeal) ผสมกับลูกกระเจี๊ยบ เขากินฟุนจี้เทียบกับการกินข้าวบ้านเรา

นอกจากนั้นก็ยังต้องลองปลาเค็ม (Salt fish) เป็นของคู่กันกับฟุนจี้ เขาเอาปลาเค็มไปแช่น้ำหลาย ๆ น้ำ ให้หายเค็มก่อนเอาไปประกอบอาหารตามต้องการ ที่เราลองทานก็แค่เอาไปคลุกผงแป้งแล้วทอด โรยหอมซอย อร่อยดี

เบียร์ท้องถิ่นยี่ห้อ Wadadli ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเกาะ ส่วนเครื่องดื่มที่ควรลองคือน้ำน้อยโหน่ง (Sour Sop) ซึ่งเขาผสมนมและน้ำตาลจนหวาน น้ำขิง (Ginger beer) หรือน้ำมะขามเปรี้ยวหวานกำลังดี

อาหารท้องถิ่นหลัก ๆ ก็มีแค่นั้น เราว่าค่อนข้างแร้นแค้นเพราะเกาะตั้งอยู่ไกลผู้ไกลคน มีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์อยู่บนเกาะก็จริง แต่ไม่พอกิน ต้องอาศัยการนำเข้าอาหารเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะต้องรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวมากมาย

ที่เราตั้งข้อสงสัยอีกอย่างคือ เกาะนี้มีน้ำทะเลล้อมรอบ กุ้ง หอย ปู ปลา ก็อยู่ในน้ำ แต่เราไม่เห็นเรือประมงเลยซักลำ มีแต่ชาวบ้านตกปลาด้วยสายเบ็ดไม่มีคัน ตามโขดหินหรือหนองน้ำต่าง ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ

ดังที่กล่าวไปแล้วว่าหาดทุกหาดบนเกาะถือเป็นที่สาธารณะ ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้ ถ้ามีโรงแรมหรือรีสอร์ทตั้งอยู่ใกล้หาด เขาต้องสร้างทางเข้าแ่ก่สาธารณชนโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งเราถือว่าเป็นเรื่องดีมาก หาดข้างรีสอร์ทที่เราพักถือเป็นหาดที่เป็นที่นิยมของคนบนเกาะด้วย เพราะมีขนาดกว้างใหญ่ และมีต้นมะขามต้นใหญ่ให้ร่มเงาหลายต้น โดยปรกติจะเงียบสงบ แขกที่รีสอร์ทพักผ่อนอย่างเงียบ ๆ ทั้งวัน

วันศุกร์วันนั้นเป็นวันหยุดทางศาสนาคริสต์ (Good Friday) คนบนเกาะก็ไม่ต้องไปทำงาน ก่อนเที่ยงเขาเริ่มมาปิกนิก มีการตั้งเต้นท์นอนหลายเต้นท์ ขนอาหาร เครื่องดื่มมาเพียบ (ทำให้นึกถึงตอนคนไทยไปเที่ยวหาดเป็นกลุ่ม ๆ อย่างช่วยไม่ได้) ยึดร่มเงาใต้ต้นมะขาม

เด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ใส่ชุดบิกินี่สีสด วิ่งเล่นตามหาด คนเริ่มมามากขึ้นเรื่อย ๆ พอถึงเวลาอาหารกลางวัน แขกที่รีสอร์ทไม่มีเหลือบนหาดซักคน เหลือแต่เจ้าถิ่นเล่นน้ำทะเลเสียงอึกกะทึกครึิกโครมไปหมด ก็พอสรุปได้ว่าชาวเกาะแอนที้ก้าเขาชอบสนุกสนานเฮฮากัน

จำนวนคืนที่อยู่บนเกาะ 7
จำนวนมื้ออาหารที่ทานบนเกาะ 21
จำนวนรูปที่ถ่าย หลายร้อย
ระดับความสุขที่ได้รับ ไม่สามารถวัดได้
ระยะเวลาที่จะอยู่ในความทรงจำ นานแสนนาน

จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ