Sunday, June 29, 2008

Canadian Rockies - Day Two

รุ่งขึ้นฝนตก ฟ้าไม่ใส มีแต่เมฆและหมอก รูปภูเขา Cascade ฉากสวยของเมือง Banff จึงดูสวยไปอีกแบบ



เราเริ่มต้นของวันด้วยการไปแวะชมน้ำตกโบว์ (Bow Falls)



ซึ่งตั้งอยู่กลางแม่น้ำโบว์ (Bow River)



ไม่ไกลจากโรงแรมแฟร์ม้องท์แบนฟ์สปริง (Fairmont Banff Springs Hotel) เท่าไหร่ เลยแวะไปถ่ายรูปซะหน่อย


จากนั้นก็แวะไปเที่ยวชมสวน (Cascade of time Gardens) ซึ่งตั้งอยู่ใน Canada Place


สวนนี้ตกแต่งโดยมีสิ่งปลูกสร้างและดอกไม้ผสมกัน


เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งลงดอกไม้ มันยังไม่โตเต็มที่ ถ้ามาช่วงปลายเดือนกรกฎาอาจสวยกว่านี้



มุ่งหน้าเดินทางต่อไปเพราะคืนนี้จะไปพักที่จาสเปอร์ จากแบ้นฟ์ ผ่านเลกลูอิส เข้าไฮเวย์สาย 93 หรือที่เรียกว่า Icefields Parkway ซึ่งเป็นเส้นทางที่สวยงามระดับโลกเลยทีเดียว



ข้างทางจะเห็นดอกไม้ป่าประจำแถบนี้อีกเหมือนกันมีรูปร่างเหมือนพู่กัน จึงมีชื่อเรียกว่า Paintbrush กระจัดกระจายอยู่ข้างทาง จริง ๆ แล้วมีหลายสีแต่ที่เห็นก็แค่สีแดงและส้ม



เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สวยงาม แต่เราก็ไม่ควรเพลิดเพลินชมวิวและขับรถอย่างประมาท บางส่วนที่เป็นเขตหินถล่มหรือหิมะถล่มยิ่งไม่ควรจอดเลย เราควรจะจอดรถตามจุดชมวิวที่เขามีไว้ให้เท่านั้น จุดชมวิวจุดแรกที่เราแวะจอด คือ น้ำตกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว (Bridal Veil Falls) เป็นน้ำตกเล็กแต่สูง เหมือนผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไงล่ะ




ที่เขาเรียกเส้นทางสายนี้ว่า Icefields Parkway ก็เพราะ แถวนี้มีทุ่งน้ำแข็งมากมาย เช่น Wapta Icefield, Wilson Icefield เป็นต้น แต่ที่ใหญ่ที่สุดคือ Columbia Icefield



มาทำความรู้จักทุ่งน้ำแข็งหรือ Icefields กันดีกว่า ยกตัวอย่าง ทุ่งน้ำแข็งโคลัมเบีย (Columbia Icefield) ให้หลับตานึกถึงทุ่งกว้างถูกล้อมรอบด้วยภูเขา 11 ลูก บริเวณหุบเขานี้มีหิมะตกเฉลี่ย 7 เมตรต่อปี หน้าร้อนสั้นมาก ทำให้หิมะละลายน้อย หลายร้อยปีผ่านไป เกิดการสะสมพอกพูนอัดแน่น กลายเป็นทุ่งน้ำแข็งกว้างถึง 325 ตารางกิโลเมตร สูงถึง 365 เมตร



ทีนี้เมื่อมันสูงแบบนั้น น้ำแข็งมันก็ล้นเขาสิ ล้นออกมาระหว่างยอดเขาเลยกลายเป็นธารน้ำแข็งหรือที่เรียกว่าแกลเซียร์ (Glacier) ทุ่งน้ำแข็งโคลัมเบียนี้มีธารน้ำแข็งล้นมาจากยอดเขาถึง 8 สาย วันนี้เราจะเยี่ยมชมหนึ่งในแปดธารน้ำแข็งนั้น

ธารน้ำแข็งแอทธาบาสก้า (Athabasca Glacier) เป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งของทุ่งน้ำแข็งโคลัมเบีย ที่สามารถมองเห็นได้จากไฮเวย์ แต่เพราะมันเข้าออกได้ง่ายเขาจึงมีบริการรถไต่น้ำแข็งสำหรับผู้ที่อยากดูใกล้ ๆ โดยมีค่าบริการคนละ 38 เหรียญ



เริ่มจากรถบัสส่งผู้โดยสารไปยังข้างธารน้ำแข็งเพื่อเปลี่ยนถ่ายสู่รถชมน้ำแข็งต่อไป ที่นี่มีรถชมน้ำแข็งโบราณซึ่งล้อทำจากเหล็กไว้ให้ดูด้วย เขาเลิกใช้ไปแล้วเพราะมันทำลายผิวน้ำแข็ง



รถชมน้ำแข็งสมัยใหม่มีล้อเป็นยางสูงประมาณห้าฟุต อัดลมอ่อนกว่ารถยนต์ธรรมดาเพื่อให้ขับนิ่มและไม่ทำลายผิวน้ำแข็งมากเกินไป คนขับรถจะทำหน้าที่เป็นไกด์บรรยายเรื่องของธารน้ำแข็งให้ฟังด้วย



ธารน้ำแข็งแอทธาบาสก้า (Athabasca Glacier) แต่ก่อนมีความยาวมากกว่านี้ แต่ปัจจุบันมีความยาวแค่ห้ากิโลเมตรกว่า ๆ หน้าหนาวหิมะตก ตรงปลายธารจะมีความยาวเพิ่มขึ้น 25 เมตร พอหน้าร้อนน้ำแข็งละลายมันจะหดไป 35 เมตร ดังนั้นมันจะหดไปโดยเฉลี่ยปีละ 10 เมตร



เขารู้ได้ยังไงเหรอ ก็วัดจากระยะกองหินและกรวดที่ถูกธารน้ำแข็งดันขณะที่มันเคลื่อนตัวลงมานะสิ เราเรียกหินและกรวดพวกนี้ว่ามอเรน (Moraine) ถ้าเป็นด้านข้างธารเรียกว่า Lateral Moraine และถ้าเป็นปลายธารจะเรียกว่า Terminal Moraine



วันนี้แดดจัด จะเห็นน้ำแข็งบางส่วนละลายไหลลงมาเป็นธารน้ำเล็ก ๆ รวมตัวกันข้างล่างกลายเป็นแม่น้ำแอทธาบาสก้า (Athabasca River) ต่อไป



ทางซ้ายมือของธารน้ำแข็งแอทธาบาสก้า มีธารน้ำแข็งชื่อสตัทฟิลด์ (Stutfield Glacier)



และทางขวามือมีธารน้ำแข็งชื่อโดม (Dome Glacier) ทั้งคู่สามารถมองเห็นได้ชัดจากไฮเวย์



จบทัวร์ธารน้ำแข็ง เรามุ่งหน้าไปยังเมืองจาสเปอร์ เห็นแกะเขาโง้ง (Bighorn sheep) ฝูงใหญ่ข้างถนน เจ้าสองตัวนี้ชนกันให้ดูด้วย




สังเกตว่าสีสันของมันกลมกลืนไปกับหินผารอบตัว เป็นการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม



ถัดจากนั้นก็แวะถ่ายรูปน้ำตกแทงเกิ้ล (Tangle Falls) น้ำตกสูงหลายชั้นและสามารถมองเห็นได้จากไฮเวย์ ช่วงต้นหน้าร้อนหิมะละลายจะมีน้ำเยอะ ถ้ามาหน้าฤดูใบไม้ร่วงอาจจะไม่เห็นน้ำเลย



ถึงเมืองจาสเปอร์ (Jasper) บ่ายแก่ ๆ เราจะพักที่นี่สองคืน จาสเปอร์เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในที่ราบระหว่างเทือกเขาสูง มีทางรถไฟขนานไปกับเมือง



ตัวเมืองมีร้านขายของ ร้านอาหารและโรงแรมเต็มไปหมด แต่เพราะเมืองมันเล็กเดินเที่ยวแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็ทั่วแล้ว เราต้องจองตั๋วไปเที่ยวเรือพรุ่งนี้ เลยถามคนขายตั๋วถึงร้านอาหารที่ดีของเมือง เขาแนะนำให้ไปที่วิลล่าคารูโซ่ (Villa Caruso) เลยไปทานอาหารเย็นที่นั่น อาหารใช้ได้ทีเดียว



โรงแรมที่พักชื่อ Amethyst Hotel สะอาดสะอ้านดี เราจองห้องพิเศษเลยกว้างขวางกว่าห้องปรกตินิดหนึ่ง จะได้พักสบายตลอดสองวัน



เนื่องจากเราอยู่ในเขต Northern Atmosphere ที่นี่ ณ ฤดูนี้พระอาทิตย์ตกดินประมาณสี่ทุ่มกว่าและพระอาทิตย์ขึ้นประมาณตีสี่ครึ่ง น่าดีใจแท้เพราะกลางวันยาว ๆ ทำอะไรได้หลายอย่าง

มีต่อ..

2 comments:

Anonymous said...
This comment has been removed by a blog administrator.
Anonymous said...

มานั่งรอตอนต่อไปค่ะ
นา