Tuesday, April 14, 2009

เกาะ Antigua – ตอนที่ 3

แล่นเรือรอบเกาะ

คืนวันพุธฝนเริ่มตกตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน อากาศเย็นฉ่ำฝน ทำให้นอนหลับสบาย เพียงแต่ว่ามันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกนะสิ ก็วันพฤหัสเราจะไปเที่ยวรอบเกาะพร้อมกับดำน้ำตื้นดูปะการังทางเรือ กับทัวร์ Wadadli Cats ซึ่งเป็นเรือ Catamaran ขนาดบรรจุประมาณ 80 คน



แพ็กเก็จนี้เป็นการแล่นเรือชมวิวรอบเกาะ ซึ่งมีชายฝั่งยาวประมาณ 60 ไมล์ แวะไปดำน้ำดูปะการังน้ำตี้นและรับประทานอาหารกลางวันที่เกาะกรีน (Green Island) รวมเครื่องดื่มทุกชนิด อุปกรณ์ดำน้ำ อย่างหน้ากากและตีนกบ



แต่ว่าสายฝนหรือจะมาหยุดยั้งความตั้งใจของคนอยากเที่ยวได้ เรือยังคงมารับเราที่หาดเวลา 8 โมงตรงเป๊ะ หาดเราเป็นจุดเริ่มต้นของการแล่นเรือนี้ ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดครึ้ม สายฝนโปรยปรายเป็นระยะ ๆ เราขึ้นเรือเป็นคนแรกพร้อมกับแขกอีกคู่หนึ่ง รวมเป็น 4 คน



จากนั้นเรือก็วนรอบเกาะไปทางทิศเหนือและจอดรับแขกจากรีสอร์ทอื่น ๆ ตามทางไปด้วย รวมแล้ว 4 แห่ง และมีผู้ร่วมเดินทางทั้งสิ้น 30 กว่าคน



ระหว่างนั้นก็ชมวิวเกาะแก่งต่าง ๆ รอบเกาะ บางเกาะเป็นที่อยู่อาศัยของนกกระทุง เห็นมันบินว่อนไปหมด ผ่านเกาะที่เรียกว่าเกาะปากเหยี่ยว (Hawksbill Island) ซึ่งเราว่ามันเหมือนเจ้าชายกบใส่มงกุฏมากกว่า หรือคุณว่าไง



ด้วยวิวอันสวยงาม บางแห่งน้ำทะเลเป็นสีเขียวออกน้ำเงินเข้ม แสดงให้เห็นว่าน้ำลึกมาก ๆ บางตอนเห็นคลื่นสีขาวลูกใหญ่กระทบผาหินดังซู่ซ่า บนเรือเปิดเพลงขับกล่อมเพราะ ๆ มีเครื่องดื่มที่ไม่มีเหล้าเสริฟก่อนดำน้ำ หลังดำน้ำจึงจะเสริฟเครื่องดื่มที่มีเหล้า



ฝนยังคงตกเป็นระยะ ๆ พอมันหยุดตก แขกบางคนก็ออกไปนั่งที่ระเบียบเรือชมวิวอันสวยงาม แต่หลายคนก็หลบฝนอยู่ใต้ประทุนไม่ออกมาเ เรือมาถึงเกาะกรีนประมาณ 11 โมง เืพื่อดำน้ำตื้น มีคนนำพวกเราไปดำน้ำหนึ่งคน แขกบางคนก็ไม่ได้ดำน้ำ แต่ว่ายน้ำที่หาด หรืออาบแดดบนเรือแทน



พื้นที่ใต้ทะเลแห่งนี้ถ้าเทียบกับแหล่งดำน้ำตื้นของไทยอย่างเกาะสุรินทร์แล้วเทียบกันไม่ได้เลย ของไทยสวยกว่าเยอะ ที่นี่เราเห็นปลาไม่กี่ชนิด เช่น กุ้งล็อบสเตอร์ ปลากระเบน ปลาหมึกหอม ปลาการ์ตูน และปะการังประปราย



หลังอาหารกลางวันซึ่งเป็นอาหารพื้นเมือง ประกอบด้วยข้าวผสมถั่ว เสริฟพร้อมปลาทอด หรือไก่ย่างชาวเกาะ สลัด และผักแนม อร่อยดี



หลังอาหารกลางวัน ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัยประมาณ เกือบชั่วโมง จากนั้นเรือก็เดินทางต่อไป ก่อนถึง English Harbour ที่เรามาเที่ยวทางบกเมื่อวาน เห็นผาหินถูกน้ำทะเลเซาะเป็นรูปเสาสวยงาม



เรือแวะเข้าไปใน English Harbour ผ่านร้านอาหารที่ชาวเรือแวะมาทานเมื่อเขาเอาเรือมาจอดที่นี่ ดูคึักคักดีแท้



ที่นี่จะเห็นป้อมปราการสมัยก่อน ตั้งตระหง่านอยู่บนผา



เมื่อเรือผ่าน English Harbour มาได้ไม่นาน คนในเรือส่วนหนึ่งก็ร้องออกมาอย่างดีใจ เพราะเขาเห็นปลาวาฬไม่ไกลจากเรือนัก คนเรือเลยแล่นเรือตามดูปลาวาฬ ซึ่งมีสามตัวด้วยกัน สองตัวเป็นปลาวาฬขนาดใหญ่ อีกตัวเป็นลูกปลาวาฬตัวน้อย เป็นปลาวาฬที่เรียกว่า humpback whale ทุกคนในเรือต่างก็ตื่นเต้นที่ทัวร์ดำน้ำตื้นได้ของแถมเป็นทัวร์ดูปลาวาฬ คนเืรือประกาศติดตลกว่า ต้องขึ้นราคาอีกคนละ 20 เหรียญ เพราะปลาวาฬไม่ได้หาดูง่าย ๆ นัก



บางส่วนของเกาะเราจะเห็นบ้านเรือนอันสวยงามของผู้มีอันจะกินบนเกาะ เสียดายภาพไม่ค่อยสวยเพราะวันนี้ไม่มีแดดเลย



สิ้นสุดทัวร์วันนั้น เรากลับมาถึงรีสอร์ทก่อน 4 โมงเย็น

มีต่อตอนต่อไป

Monday, April 13, 2009

เกาะ Antigua - ตอนที่ 2

สถานที่น่าสนใจบนเกาะ

นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวรอบเกาะโดยการเช่ารถขับเที่ยวเอง ไปกับขบวนรถจี๊บ หรือจะเช่าแท๊กซี่ให้เขาขับพาเที่ยวก็ได้ เราเลือกรถแท๊กซี่ซึ่งเป็นรถตู้ติดแอร์เย็นฉ่ำ ให้เขาพาไปเที่ยวรอบเกาะ สนนราคาก็พอจ่ายได้ ไม่ถึง 200 เหรียญอเมริกัน สำหรับสองคน ซึ่งก็ดีไม่น้อยเพราะมีความเป็นส่วนตัว จะแวะที่ไหนนานเท่าไหร่ก็ได้






วันพุธรถมารับที่รีสอร์ทเวลา 9 โมงตรง ขับวนไปทางทิศตะวันตกชมวิวรอบ ๆ เกาะ เขาพาเราไปแวะที่ Curtain Bluff หาดที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง



ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทราคาแพงชื่อเดียวกัน แวะถ่ายรูป ชมชายหาดอันสวยงามซักพัก ก็ไปต่อ


เกาะแอนที้ก้ามีประชากรประมาณ 7 หมื่นกว่าคน พื้นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ มีทั้งชายหาด หนองน้ำ ที่ราบและภูเขา แต่ก่อนเคยปลูกอ้อยเป็นเศรษฐกิจหลัก เดี๋ยวนี้ต้องพึ่งการท่องเที่ยวเพื่อหาเงินเข้าประเทศ ไม่มีใครอยากทำการเกษตรกรรมอีกแล้ว ถึงแม้จะยังมีการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์อยู่บ้างแต่อาหารส่วนใหญ่ก็นำเข้ามาจากเกาะเพื่อนบ้านอย่างเกาะโดมินิกัน เป็นต้น




เราผ่านส่วนที่เรียกว่า Fig Tree Drive (ฟิกทรีไดร์ฟ) ซึ่งเป็นเส้นทางขับรถที่นิยมของนักท่องเที่ยว เห็นชื่อทีแรกนึกว่ามีต้นมะเดื่อเรียงราย ที่ไหนได้ คำว่า Fig เป็นภาษาพื้นเมืองแปลว่าต้นกล้วย ดังนั้นเส้นทางสายนี้ก็เต็มไปด้วยต้นกล้วย พร้อมกันต้นไม้อื่น ๆ เช่น มะม่วง มะพร้าว หรือพืชเตี้ย ๆ อย่าง สับปะรด ด้วย แต่โดยรวมแล้วถือเป็นเขตป่าไม้สำคัญของเกาะเลยทีเดียว



เกาะ Antigua มีการปลูกสับปะรดพันธุ์สีดำ (Black pineapple) เป็นเอกลักษณ์ของเกาะ สับปะรดพันธุ์นี้รูปร่างเหมือนกับสับปะรดภูเก็ตบ้านเรา แต่เมื่อเราแวะชิมดูแล้วปรากฏว่ารสชาติไม่หวานเท่า คิดว่าอาจรูปร่างเหมือนกันเท่านั้นเอง



เราแวะเข้าไปเที่ยวที่ท่าจอดเรืออุทยานแห่งชาติเนลสัน (Nelson’s Dockyard National Park) ซึ่งถือเป็นท่าจอดเรือตั้งแต่สมัยจอร์เจียน (Georgian Dockyard) ที่ยังคงใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้



อุทยานแห่งชาตินี้ประกอบไปด้วยตัวอาคารประชาสัมพันธ์ดาวส์ฮิลล์ (Dow’s Hill Historical Centre) ที่เราชมการบรรยายเกี่ยวกับประวัติของเกาะนี้ตั้งแต่สมัยที่ยึดครองโดยประเทศอังกฤษมีการนำทาสจากอัฟริกาเข้าเป็นแรงงานในไร่อ้อย เพื่อทำเป็นรัม และเนื่องจากเกาะนี้อยู่ใกล้กับเกาะต่าง ๆ ในอาณานิคมของดัทช์ และฝรั่งเศส อังกฤษต้องสร้างฐานทัพบนเกาะนี้เพื่อปกปัองแผ่นดินและไร่อ้อยอันมีค่ามหาศาลในสมัยนั้น พอเขาเลิกผลิตรัมคนอังกฤษก็ย้ายออกจากเกาะ ตอนนี้คนที่หลงเหลืออยู่คือคนผิวดำเท่านั้นเอง



เนื่องจากที่ตั้งของศูนย์ประชาสัมพันธ์เป็นที่สูง สามารถชมวิวหน้าผาอันสวยงามได้โดยรอบ



ซึ่งจะมองเห็นอิงลิชฮาร์เบอร์ (English Harbour) และ Nelson’s Dockyard อย่างชัดเจน



จากนั้นเราก็ไปผาเชอร์ลีย์ ไฮทส์ (Shirley Heights) ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของป้อมปราการแห่งหนึ่ง ปัจจุบันมีการจัดงานขายอาหาร เครื่องดื่มและการแสดงพื้นเมืองต่าง ๆ ทุกวันอาทิตย์ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานนี้ด้วย



สุดท้ายของอุทยานก็ไปสิ้นสุดที่ Nelson’s Dockyard ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่จอดเรือแล้ว ยังมีส่วนของการแสดงพิพิธภัณฑ์ ประวัติชีวิตของ Nelson ชื่อเจ้าของสถานที่ มีร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ และโรงแรม ร้านอาหารด้วย



จาก Nelson’s Dockyard ขับรถอีกประมาณ ครึ่งชั่วโมง เราก็แวะไปเที่ยวชมสะพานปีศาจ Devils Bridge ซึ่งเป็นผาหินที่ถูกน้ำเซาะกลายเป็นสะพานธรรมชาติ ที่เราไม่กล้าเดินข้าม เพราะกลัวถูกคลื่นเซาะพัดพาลงทะเลไปนะสิจ๊ะ



ใกล้ ๆ กับสะพานปีศาจ ก็แวะไปชมลองบีช (Long Beach) หาดสวยทรายขาวอีกแห่งหนึ่ง ที่มีรีสอร์ทราคาแพงขึ้นเรียงราย และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว มาว่ายน้ำและดูปะการังน้ำตื้น



จุดสุดท้ายของการเที่ยวเกาะคือเบ็ทตี้ส์ โฮป (Betty’s Hope) โรงงานผลิตน้ำอ้อยเพื่อทำรัมแห่งแรกของเกาะ ที่เขาได้ปรับปรุงซ่อมแซมโรงบดอ้อยกังหันลม เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ไว้ให้ลูกหลานและนักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม สมัยนี้ไม่มีโรงงานผลิตอ้อยบนเกาะแล้ว เศรษฐกิจของเกาะโดยหลักคือการท่องเที่ยวเท่านั้นเอง



สิ้นสุดทัวร์กลับมารีสอร์ทหลังสามโมงเย็น

มีต่อตอนต่อไป

เกาะ Antigua - ตอนที่ 1

เกาะแอนที้ก้า(Antigua) ตั้งอยู่ในแถบทะเลแคริ้บเบี้ยน เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เกาะที่เป็นแหล่งพักผ่อนทางทะเลที่สำคัญของชาวแคนาดาที่อาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออก เช่น โตรอนโต มอนทรีอัล เกาะนี้เคยเป็นแหล่งผลิตอ้อยเพื่อทำเหล้ารัมที่สำคัญของประเทศอังกฤษ ดังนั้นบนเกาะจึงยังคงมีซากปรักหักพังของโรงบดอ้อยแรงลมอยู่ให้เห็นทั่วไป เพียงแต่กังหันลมได้ผุกร่อนไปแล้ว นอกจากนั้นก็ยังเห็นป้อมปราการสมัยศตวรรษที่ 18 ตั้งอยู่ประปรายตามแหลมหินรอบเกาะ




ชายฝั่งเกาะแอนที้ก้ามีรูปร่างเว้า ๆ แหว่ง ๆ ทุกส่วนที่เว้าและแหว่ง ก็มีชายหาดสีขาวสวยงาม เมื่อมันเว้าแหว่งมาก ๆ ก็เลยทำให้มีชายหาดถึง 365 หาด เรียกว่าถ้าไปอยู่ปีหนึ่งก็ไปเที่ยววันละหาดได้เลย หาดทุกหาดถือเป็นพื้นที่สาธารณะ เปิดให้ทุกคนได้ใช้ประโยชน์ บางหาดอาจเข้าทางบกไม่ถึงเพราะไม่มีถนนตัดเข้าไป หาดส่วนใหญ่เงียบสงบ บางหาดมีปะการังให้ดำน้ำดูได้



จากโตรอนโตเราบินลงใต้ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงสนามบินที่เกาะแอนที้ก้า จุดประสงค์หลักคือหนีความวุ่นวายของชีวิตประจำวันในเมืองใหญ่ เพื่อการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ กับบุคคลอันเป็นที่รัก


ที่พักของเรา

ที่พักของเราชื่อ Cocobay Resort จุดขายของรีสอร์ทนี้คือความโรแมนติก เงียบสงบ ดังนั้นทางรีสอร์ทจึงรับเฉพาะแขกผู้ใหญ่ ไม่รับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าพัก ยกเว้นช่วงคริสมาสต์เท่านั้น จึงเป็นที่นิยมของคู่แต่งงานทุกเพศทุกวัยที่ต้องการพักผ่อนอย่างสงบ บางคู่ก็มาแต่งงานบนหาดที่นี่เลย น่ารักน่าจดจำไปอีกแบบ




เหตุเพราะเกาะนี้เว้า ๆ แหว่ง ๆ อย่างที่บอกข้างต้น ที่ตั้งของรีสอร์ทก็เป็นชะง่อนผาหินหรือแหลมเล็ก ๆ ยื่นลงไปในทะเล สองข้างของชะง่อนหินเป็นชายหาดสีขาวสวยงาม แขกที่มาพักสามารถว่ายน้ำเล่นได้ทั้งสองหาด ที่พักประกอบไปด้วยกระท่อมเล็ก ๆ เรียงราย ไม่ใช่ตึกสูงโด่เด่ ทั้งหมดมีแค่ 57 ห้องเท่านั้น บนเกาะไม่ค่อยมีร้านอาหารหรือบาร์ให้เลือกมากมาย ดังนั้นรีสอร์ททุกแห่งบนเกาะรวมทั้งรีสอร์ทที่เราไปพักด้วย จึงให้บริการแบบ All-Inclusive คือที่พักพร้อมอาหารสามมื้อทุกวัน



ที่นี่ทุกเช้าและกลางวันจะมีอาหารแบบบุบเฟต์ไว้คอยให้เลือกกินตามชอบใจ ตกบ่ายจะมีชากาแฟและของว่างไว้บริการ ในขณะที่มื้อเย็นจะเป็นอาหารแบบ 4 คอร์ส ตามสั่ง แต่มีรายการอาหารให้เลือกสั่งทุกคอร์ส ประกอบไปด้วย ซุป สลัด เมนคอร์สและของหวาน รายการอาหารของแต่ละวันก็แตกต่างกันไป ทั้งนี้ยกเว้นวันพฤหัสบดีที่ทางรีสอร์ททำเป็นอาหารพื้นเมืองแบบบุบเฟต์ (Caribbean Buffet) และวันอาทิตย์ก็จะมีบาร์บีคิวแบบเวสต์อินเดียน (West Indian Barbeque) ระหว่างรับประทานอาหารก็สามารถเลือกดื่มเครื่องดื่มได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ไวน์ เบียร์ หรือค็อกเทลล์ประเภทต่าง ๆ



ระหว่างวัน แขกของรีสอร์ทสามารถรับเครื่องดื่มทุกชนิดได้ที่บาร์ในตัวโรงเรือน แต่ที่ปลายหาดก็มีเครื่องดื่มง่าย ๆ ไว้สำหรับนักอาบแดดทั้งหลายให้บริการตัวเองด้วย นอกจากนั้นก็ยังสามารถใช้อุปกรณ์ของเล่นทางน้ำอย่างเช่น เรือคายัก เรือใบ เครื่องมือดำน้ำตื้นอย่างหน้ากาก ตีนกบ ฟรีอีกด้วย เรียกว่าถ้าคุณไม่อยากออกจากรีสอร์ทเลยก็มีทุกอย่างไว้บริการครบครัน



เราเดินทางไปถึงวันอาทิตย์ จากสนามบินเรียกรถแท๊กซี่ไปรีสอร์ทใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ที่เกาะนี้ขับรถเลนซ้ายเหมือนเมืองไทยเลย ถนนก็มีแค่สองเลนเป็นอย่างมาก และคนขับก็ขับฉวัดเฉวียนไม่แพ้กัน



กระท่อมของเราเป็นแบบวิวทะเล (Sea view Cottage) เราจองไว้ทั้งหมด 7 คืน ในห้องมีแชมเปญแช่เย็นไว้รออยู่ พร้อมดอกไม้ในแจกันสวยงาม เตียงขนาดใหญ่ (ควีนไซส์) มีมุ้งกลมคลุมไว้ น่ารัก น่านอน ในห้องมีเครื่องปรับอากาศแต่ไม่ค่อยมีคนใช้ เพราะอากาศกลางคืนบนเกาะเย็นอยู่แล้ว อีกทั้งไม่มีทีวีและโทรศัพท์ในห้อง เราชอบไปพักในสถานที่แบบนี้ เป็นการหนีชีวิตประจำวันอันยุ่งเหยิง สู่ความสงบของธรรมชาติ เพื่อสัมผัสสายลม แสงแดดและเสียงคลื่น อย่างแท้จริง



ด้านหลังของกระท่อมทุกหลังจะหันหน้าเข้าทะเลเป็นระเบียงมีหลังคา มีเก้าอี้ และแปลญวนแขวนไว้ให้นอนเล่นเย็นใจ ห้องน้ำมีประตูหลังเปิดสู่ทะเล ทำให้เห็นวิวสวยงามและรับแสงสว่างตามธรรมชาติ แต่มีก็มีความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างดี





กิจกรรมในรีสอร์ท

แขกที่มาพักในรีสอร์ทเกือบทั้งหมดมาเป็นคู่ ๆ ส่วนใหญ่เป็นคนอังกฤษ ที่เหลือประกอบด้วย อิตาเลี่ยน ดัชท์ อเมริกันและแคนาดา กิจกรรมประจำวันของแขกที่มาพักบนเกาะคือ นอนรับไอแดดอันอบอุ่นหรือจูงมือกันเดินตามชายหาด หลายคนจะอ่านหนังสืออย่างเงียบ ๆ นั่งดูนกกระทุงหาปลา ว่ายน้ำทะเล พายเรือคายัก เล่นเรือใบ หรือนอนรับแดดรอบ ๆ สระน้ำแบบอินฟินิตี้ (infinity pool) ออกแบบให้กลืนไปกับทะเลสีครามอันสวยงาม ถึงแม้สระจะมีขนาดไม่ใหญ่นักแต่สามารถรองรับความต้องการของแขกในรีสอร์ทได้



ทุก ๆ วันหลังอาหารเช้า เรามักจะไปนอนรับแดดที่ชายหาดเฟรย์ ติดกับรีสอร์ททางทิศตะวันตก นกกระทุงหลายตัวจะมาดำน้ำหาปลาอวดอยู่ตลอดเวลา พอถึงเวลา 10 โมงเช้า เจ้าหน้าที่ก็เปิดให้ยืมเรือคายัก หรือเรือใบ และอุปกรณ์ดำน้ำตื้นได้ เสียแต่ว่าน้ำทะเลของชายหาดฝั่งด้านนี้มีคลื่นซัดตลอดเวลาทำให้มีทรายเม็ดเล็ก ๆ ล่องลอย ไม่มีวิสัยทัศน์สำหรับการดำน้ำตื้นเลย แต่ก็เหมาะสมกับการว่ายน้ำ เพราะใกล้หาดน้ำจะลึกประมาณ 1 เมตร มีแนวหินปะการังล้อมรอบเป็นสัดส่วน



เหมือนแขกคนอื่น ๆ ในรีสอร์ทซึ่งส่วนใหญ่มาหาความสงบตามธรรมชาติ มีแขกบางคนเท่านั้นที่ใช้เรือพายหรือเรือใบที่ทางรีสอร์ทมีไว้บริการกันเบื่อ ส่วนเรานั้นพายเรือคายักเล่นแค่ครั้งเดียว พายไปรอบ ๆ อ่าวเชอร์ชวัลเล่ย์ (Church Valley) ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ได้เหงื่อพอสมควร อีกทั้งแดดจัดจ้า ครีมกันแดดยังเอาไม่อยู่ ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย



ที่สนุกหน่อยก็คือเรือใบ เรือที่เราแล่น เรียกว่า Catamaran ผลิตโดยบริษัท Hobie จึงเรียกกันง่าย ๆ ว่า Hobie Cat เพราะเราไม่เคยแล่นเรือใบ คนดูแลเรือจึงอธิบายวิธีการแล่นให้เล็กน้อยก่อนออกทะเล ทั้งนี้หลักง่าย ๆ ก็คือ เราพยายามให้ใบเรือรับลมเต็มที่ โดยให้ทิศทางลมมาจากด้านหลัง ดังนั้นคนเป็นกับตันก็จะเปลี่ยนข้างถือหางเรือตามทิศทางของลม และก็คอยบังคับเรือให้ไปในทิศทางที่ต้องการเท่านั้นเอง ฟังดูง่ายมั้ย



กับตันสุดที่รักของเราเริ่มก่อน เขาทำได้ดีมาก บังคับเรือให้แล่นโดยใบเรือต้านแรงลม เรือแล่นไปรอบอ่าว สนุกสนานดี ทีนี้ก็เลยถึงตากัปตันผู้หญิงล่ะ เราลองแล่นดู ใช้เวลาไม่นานก็พอแล่นได้ ใบเรือต้านลม ลมยิ่งแรงเรือยิ่งเร็ว เรือยิ่งเร็วเรายิ่งสนุก และแล้วก็ถึงเวลาเลี้ยวกลับ ความเร็วไม่ลด พยายามเลี้ยว เรือก็เลยคว่ำ

ลอยคออยู่ในน้ำสีคราม เรือคว่ำแต่เสียงหัวเราะดังลั่น กับตันผู้ชายรีบว่ายน้ำออกไปไกลเรือเพื่อถ่ายรูปเอาไว้เกทับทีหลัง



เขากลับมาดึงเรือให้พลิกกลับ ช่วยเรากลับขึ้นเรือ พร้อมกับบอกว่า ที่รักวันนี้คุณพอแค่นี้ก่อนนะ ให้ผมเป็นกับตันทั้งวันก็แล้วกัน ขี้เกียจกู้เรือ ฮา..


ตอนบ่ายเรามักจะมานั่งเล่นที่สระว่ายน้ำ มีอยู่หลายวันที่เราแช่น้ำเล่นในสระ พร้อมนั่งมองหมู่นกกาบินกลับรัง เรือต่าง ๆ มุ่งกลับท่า และตะวันค่อย ๆ ตกน้ำลับตาไป


ยังมีตอนต่อไป....

Wednesday, March 25, 2009

Sugar Bush

ปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิหรือระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ – เมษายน ขึ้นอยู่กับภาวะอากาศในแต่ละปี ถ้าเป็นช่วงที่กลางวันอุ่นกลางคืนหนาว จะเป็นช่วงที่เขาเจาะต้นเมเปิ้ลเอาน้ำหวานกัน เพราะเขาว่าน้ำตาลจะวิ่งดีช่วงนี้แหละ



สถานที่ที่เราจะไปในวันนี้เป็นป่าอนุรักษ์ชานเมืองโตรอนโต เป็นสถานที่นิยมสำหรับเด็ก ๆ ยิ่งช่วงวันหยุดในเดือนมีนาคมยิ่งดีใหญ่ คนเยอะ แบบลานจอดรถสองลานเต็มเลยล่ะ



เราเริ่มด้วยทัวร์ 1 ชั่วโมง มีไกด์นำ เขาอธิบายการเจาะเก็บน้ำตาลเมเปิ้ล และสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ดงเมเปิ้ลที่ใช้ทำน้ำตาลเขาเรียกว่า Sugar Bush ซึ่งช่วงนี้มีแต่ต้นสล้าง ใบร่วงไปเมื่อฤดูที่แล้วยังไม่งอก จึงดูค่อนข้างแห้งแล้ง




แอบดูน้ำตาลใส ไหลหยดติ๋ง ๆ รสชาติเหมือนน้ำเปล่า น้ำที่ได้จากต้นเมเปิ้ล 40 ลิตร ทำน้ำตาลได้ลิตรเดียว แหม มิน่าแพงจังเนอะ



ที่ฟาร์มมีต้นเมเปิ้ลมากมาย ส่วนหนึ่งน้ำหวานจะถูกเจาะและรองรับในถังไว้โชว์เทคโนโลยี่ดั้งเดิม มีจุดบรรยายการเจาะและทำน้ำตาลของคนอินเดียนท้องถิ่นสมัยนู้น



ซึ่งเขาทำให้มันระเหยโดยการเอาน้ำตาลที่รองได้ใส่ในถังที่เจาะจากลำต้นของต้นไม้ แล้วเราหินเผาไฟจุ่มลงไป พอใส่หินร้อน ๆ ลงไปเยอะน้ำมันก็ร้อน และเดือดระเหยออกไป ใช้เวลา 3 วันกว่าจะได้น้ำตาลมาใช้ ช่างอดทนกันจริง



จุดบรรยายถัดมาเป็นคนผิวขาวจากยุโรปที่มาตั้งรกรากในทวีปอเมริกาเหนือ หรือเรียกว่าพวกไพโอเนีย มีถังโลหะใช้รองรับน้ำตาล มีการต้มน้ำตาลในหม้อโลหะ เรียงกันสามหม้อ พอผ่านไปสี่ – ห้าชั่วโมง ก็ตักถ่ายไปใส่หม้อต้มถัดไป เพื่อจะเิติมน้ำตาลใหม่ในหม้อแรก วนเวียนเป็นอย่างนี้ ใช้เวลา 1 วันกว่าจะได้มาซึ่งน้ำตาลเมเปิ้ลหอมอร่อย



จุดนี้มีน้ำตาลให้ลองชิมด้วย หวาน หอม อร่อยลิ้น และเพราะอากาศค่อนข้างเย็นวันนี้ น้ำตาลเลยหนืดมากกว่าปรกติ



พอมาถึงสมัยปัจจุบันเขาก็ไม่ใช้ถังแล้ว เปลี่ยนมาใช้สายยางพ่วงแทน ต่อสายยางเป็นระบบ จนถึงโรงต้มน้ำตาลเลยทีเดียว เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้สามารถทำน้ำตาลเมเปิ้ลได้ภายในเวลา 6 ชั่วโมงเอง



น้ำตาลเมเปิ้ลตามมาตรฐานของแคนาดาต้องมีระดับน้ำตาล 66 เปอร์เซ็นต์ และน้ำตาลที่ถือว่ามีคุณภาพคือน้ำตาลต้นฤดู น้ำตาลจะเป็นน้ำตาลอ่อน ไม่เข้ม



หลังจบทัวร์ก็ถึงเวลาสำคัญแหละ นั่นคือการกินแพนเค้กราดน้ำตาลเมเปิ้ลรสอร่อย เดินกับทัวร์ออกกำลังตั้งหนึ่งชั่วโมง แพนเค้กสองแผ่นแล้วกันนะ