มิถุนายน 2008
เทือกเขาร็อกกี้ มีชื่อเสียงในเรื่องทัศนียภาพอันสวยงาม ภูเขาเรียงกันเป็นทิว มีหิมะปกคลุม มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ ดอกไม้ตามธรรมชาติ แหล่งน้ำพุร้อน และน้ำตกต่าง ๆ ดังนั้นจึงเป็นนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งหลายทั้งที่มาเพราะความงาม มาเพราะสนใจศึกษาเรื่องธรรมชาติ และมาเพื่อทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ออกจากสนามบินคัลการี่เกือบเที่ยง จุดหมายแรกที่เราจะไปในวันนี้คือคานาน้าสกิสคันทรี่ (Upper Kananaskis Lake) อยู่ห่างจากคัลการี่ประมาณ 140 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง
เริ่มจากไฮเวย์ 1 ต่อด้วยไฮเวย์ 40 เส้นทางสาย ณ จุดนี้ไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นบริเวณของ Kananaskis Country หรือเรียกสั้น ๆ ว่า K Country มีบริเวณมากกว่า 4000 ตารางกิโลเมตร เขาว่ากันว่าเปรียบเสมือนสาวรุ่นของคัลการี่เลยทีเดียว ถ้ามีโอกาสควรมาเยี่ยมชม
ไฮเวย์ 40 สู่ วิลเลจของคานาน้าสกิส (Kananaskis Village) นับว่าเป็นเส้นทางที่สวยเส้นทางหนึ่ง มีภูเขาเป็นเทือก ทั้งมีหิมะ
และไม่มีหิมะ
ยอดเขาบางยอดก็มีรูปร่างแปลกน่าสนใจ
บ้างทำเป็นลู่สกีเอาไว้บริการขาสกีทั้งหลายในหน้าหนาว มีที่ให้เดินป่าหลายเส้นทาง แต่ช่วงนี้บางเส้นทางต้องปิดไปเพราะมีหมีมาป้วนเปี้ยนอยู่เป็นอันตราย บางเส้นก็ลื่นยังไม่เหมาะแก่การเดินป่า
บางทีเห็นน้ำตกขนาดย่อมข้างทาง
ก่อนถึงจุดหมายปลายทางคือทะเลสาบคานาน้าสกิสตอนบน (Upper Kananaskis Lake) เราแวะศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยว เห็นเจ้ากระรอกตัวนี้มีชื่อเรียกว่า Columbia Ground Squirrel เป็นกระรอกเจ้าถิ่นในแถบแคนาดาฝั่งตะวันตก สีน้ำตาลเลื่อมแดง
ถึง Upper Kananaskis Lake แดดจัด ฟ้าใส เห็นคนกำลังเล่นเรือกันอยู่ ที่ทะเลสาบมีท่าให้เอาเรือลงน้ำ จึงมีคนเอาทั้งเรือยนต์และเรือพายมาเล่นกันหลายคนอยู่
ข้างทะเลสาบ มีทางเดินป่ายาวหลายกิโล เป็นทางเดินป่าง่าย ๆ ไม่สมบุกสมบัน ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือเดินป่าครบครัน จะเดินนานเท่าไหร่ก็ได้ เหนื่อยก็เดินกลับ ไม่มีใครว่า มะมาเดินป่ากัน
ทางเดินอยู่ระหว่าง Upper Kananaskis Lake กับ Lower Kananaskis Lake เห็นวิวทะเลสาบต่าง ๆ มุม
บางตอนจะเห็นน้ำตกเล็ก ๆ ไหลสู่ทะเลสาบ
นอกจากวิวสวย ๆ แล้วลองหันมาดูพืชพันธุ์แถบนี้มั่ง กล้วยไม้ดินคาลิปโซ่ (Calypso Orchid) ขึ้นตามข้างทาง ชอบที่กึ่งร่มกึ่งแดดและชื้น เป็นกล้วยไม้อันเล็ก สูงประมาณ 3 นิ้วได้ ก้านเท่าเข็ม ดอกขนาดหัวแม่มือ มีสีม่วงสวย อันนี้ต้องสังเกตให้ดีหลาย ๆ คนมองผ่านไปไม่สังเกตเพราะมันเล็ก
บริเวณเดียวกัน ก็มีดอกสตรอว์แบรรี่ป่า (Wild Strawberry) ดอกสีขาวสวย ขึ้นเรียงราย เห็นได้ง่าย การเดินป่าควรเดินตามทางที่เขากำหนดไว้เท่านั้น เพราะนอกจากจะเป็นอันตรายต่อตัวคุณแล้วยังเผลอเหยียบย่ำพืชพรรณเล็ก ๆ ที่คุณไม่สังเกตอีก
จูนิเปอร์แบรรี่ (Juniper Berry) ที่เขาใช้ทำเหล้าจิน ก็พอมีให้เห็นตามไหล่เขา
เดินไปแค่ครึ่งชั่วโมงก็หันหลังกลับ ไม่อยากเหนื่อยมากแต่วันแรก เดินกลับมาที่รถก็หนึ่งชั่วโมงพอดี ลาจากคานาน้าสกิสเพียงแค่นี้
เดินทางย้อนมาตามทางหลวงสาย 40 ก่อนเลี้ยวเข้าทางหลวงสาย 1 เห็นหมู่ม้าเคี้ยวหญ้าอยู่ข้างทาง ฟาร์มถูกล้อมด้วยรั้ว ยกเว้นที่ถนน ไม่มีประตู แต่มีแคทเทิ้ล เกรท (Cattle Grate) ซึ่งเป็นสะพานซี่เหล็ก พวกสัตว์ตีนกีบ เช่น วัว ควาย และม้า จะไม่กล้าข้ามซี่เหล็กนี้เพราะอาจลื่นขาหักได้
ขับรถต่อไปเพื่อจะไปแบ้นฟ์ (Banff) ซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติต้องเสียค่าบำรุง อาจเลือกเป็นรายวันที่ 19.60 เหรียญหรือรายปีที่ 136.40 เหรียญต่อครอบครัวก็ได้ เงินที่ได้เป็นค่าบำรุงห้องน้ำ ถังขยะ แหล่งปิกนิก ป้าย และจุดชมวิวต่าง ๆ ของพาร์กสี่แห่งคือ Banff, Jasper, Yoho and Kootenay National Parks ถ้าจ่ายรายปีสามารถเข้าออกได้ตลอด และให้คนอื่นใช้ก็ได้
แบ้นฟ์ (Banff) เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนไหล่เขา มีภูเขาสีเทาชื่อ Cascade เป็นฉาก เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวตลอดปี มีร้านขายของเล็ก ๆ มากมาย ร้านอาหารหลายชาติ ทั้งฝรั่ง ญีปุ่น เกาหลี จีน อิตาเลี่ยน รวมทั้ง ผับ และบาร์ต่าง ๆ
คืนนี้เราจะพักที่โรงแรมเม้าท์รอยัล (Mount Royal Hotel) เป็นโรงแรมเก่าแก่ ตั้งมาได้หนึ่งร้อยปีแล้ว อยู่ในตัวเมืองแบ้นฟ์ ทำให้เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก
คืนนี้เรากินอาหารเย็นที่ร้านอาหารใต้ถุนโรงแรมชื่อ Tony Roma’s มีชื่อเสียง ด้านซี่โครงย่าง แต่เราว่ารสชาติไม่ได้พิเศษอะไร จบวันแต่เพียงเท่านี้
No comments:
Post a Comment