บ่ายสี่โมงสิบห้านาทีพวกเรามาถึงเมืองเก่าเควเบ็กซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองเดียวที่ตั้งอยู่เหนือเม็กซิโกที่มีกำแพงป้องกันข้าศึก และเป็นเมืองแบบยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกา รถบัสจอดให้พวกเราลงหน้าตึกสำคัญของเมืองตึกหนึ่ง เป็นโรงแรมชื่อชาโตฟรอนติแน็ก ซึ่งตั้งชื่อตามเจ้าเมืองเควเบ็กคนหนึ่ง เชื่อว่าโรงแรงนี้ถูกถ่ายรูปมากกว่าโรงแรมใด ๆ ในโลก
เรามีเวลาสองชั่วโมงที่นี่ เราจึงเดินไปรอบ ๆ เพื่อถ่ายรูป ซึมซับบรรยากาศแบบยุโรปสมัยก่อน และฟังดนตรีที่ศิลปินท้องถิ่นบรรเลงอยู่ตามหัวมุมถนน
ที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เราสามารถหาซื้อของได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องครัว หรือภาพศิลปะต่าง ๆ ทุกห้างร้านตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ส่วนใหญ่จะตกแต่งในโทนออกสีส้มสำหรับฤดูเก็บเกี่ยว
นอกจากนั้นก็ยังมีร้านอาหารและบาร์เครื่องดื่มไว้บริการ เราสามารถเลือกนั่งทั้งข้างในและข้างนอกในบรรยากาศแบบยุโรป ทางเดินแคบ ๆ และนักท่องเที่ยวขวักไขว่ทำให้เรานึกถึงตอนที่ไปเที่ยวอิตาลีเป็นอย่างยิ่ง
หกโมงสิบห้าเรากลับขึ้นรถบัสอีกที จากนี้เราก็จะไปกินอาหารเย็นกันล่ะ เมื่อเราเดินเข้าไปในร้านอาหาร La Maison du Spaghetti เราก็คิดเลยว่าทัวร์นี้คงเลือกร้านอาหารที่ถูกที่สุดเพื่อทำสัญญาให้ลูกทัวร์เป็นแน่ แต่ก็นั่นแหละจะไปเอาอะไรมากกับเงิน 81 เหรียญรวมค่าอาหาร 4 มื้อ ภาษีและทิป
อาหารเรียกน้ำย่อยเป็นตับบดสองชิ้นเสริฟมาบนผักกาดหอมกับมะเขือเทศหนึ่งชิ้น ตามด้วยซุปฟักทอง อาหารหลักเราสามารถจะเลือกเนื้อ อกไก่ ปลา หรือมังสวิรัติ ถ้าจะทานกุ้งล็อปสเตอร์ก็เพิ่มตังค์อีก 5 เหรียญ ไม่ว่าจะเลือกอะไรจานหลักก็เสริฟพร้อมแคร์ร็อทและถั่วลันเตาแบบแกะจากถุงแช่แข็งมา
ระหว่างอาหารพวกเราสั่งไวน์ขาวมาขวดหนึ่งดื่มกันสามคน หลังอาหารมีเคร็มคาราเมลเสริฟเป็นของหวาน อาหารเย็นก็ผ่านพ้นไปซะที
ทุ่มห้าสิบนาทีรถบัสนำพวกเราไปส่งที่โรงแรม คืนนี้เรานอนที่โรงแรมคลาสสิก เป็นโรงแรมระดับสามดาวใกล้เมืองเก่า ห้องค่อนข้างมีขนาดใหญ่ และมีอุปกรณ์พร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเป่าผม ที่รีดผ้า เครื่องชงกาแฟ หรือเตาไมโครเวฟอุ่นอาหาร
To be continued มีต่อตอนหน้า
No comments:
Post a Comment