Saturday, July 31, 2010

Hiking at Niagara Glen

ไปเที่ยวน้ำตกไนแอการ่าตั้งหลายที มีแต่ขับรถเล่น ไม่เคยเดิน หรือปั่นจักรยานอะไรเทือกนี้กับเขาเลย แถวนั้นมีทางสำหรับเดินและปั่นจักรยานที่เรียกว่าTrail จากเมือง Niagara-on-the-lake ไปสิ้นสุดที่เมือง Fort Erie ยาวตั้ง 53 กิโลเมตร ให้ผู้คนได้ใช้กันฟรี ๆ ว่ากันว่าเป็น Trail ที่มีวิวอันสวยงามที่สุดในออนทาริโอกันเลยทีเดียว

สุดสัปดาห์นี้อากาศดี เป็นวันหยุดยาวด้วย เลยถือโอกาสชวนเพื่อนฝรั่งหน้าตาดีไปเดินป่าหรือที่เขาเรียกว่า Hiking รับอากาศบริสุทธิ และเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกายซะหน่อย


เราออกจากตัวเมืองโตรอนโตประมาณสิบเอ็ดนาฬิกากว่า ๆ แล้ว จริง ๆ ใช้เวลาขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง แต่วันนี้รถติดยาวเหยียด ใช้เวลาตั้ง 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางที่ไนแอการ่าเกล็น (Niagara Glen) เล่นเอาหิวโซกเลย ไปถึงต้องกินก่อน

Trail ในส่วนนี้ มีระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 3 กิโลเมตร ถ้าจะเดินไปให้ถึงวังน้ำวนหรือ Whirlpool ก็ไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร แต่วันนี้เราไม่ค่อยมีเวลามากนักเพราะต้องกลับไปถึงโตรอนโตก่อนทุ่มหนึ่ง ก็เลยเดินที่ Niagara Glen ประมาณหนึ่งชั่วโมง


เริ่มจากลงบันไดเหล็กไปในเหวประมาณ 30 เมตรเห็นจะได้ ทางเดินหน้าผาสูงชัน แต่เิดินไม่ลำบากเท่าไหร่ ลูกเด็กเล็กแดงก็พอเดินได้อยู่


ทางเดินไม่ร้อนเพราะมีร่มเงาต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด ที่ต้องระวังก็คือยุงกัด เพราะใกล้น้ำยุงเยอะพอควร


ทางเดินบางส่วนเห็นแม่น้ำไนแอการ่าไหลเชี่ยวเป็นฟองขาว ถ้าตกลงไปคงลำบากน่าดู


ถ้ามีเวลาจะนั่งข้างฝั่งแม่น้ำรอดูเรือ Whirlpool Jet ที่พานักท่องเที่ยวไปชมวังน้ำวน ขับฝ่าน้ำอันไหลเชี่ยวก็น่าตื่นตาดีออก เพราะบางส่วนเรือต้องสู้นานพอควรกว่าจะฝ่าไปได้


เรากลับมาที่รถและขับไปอีกนิดหนึ่งเพื่อจะได้ประหยัดเวลาเดินไปดูวังน้ำวน เพราะวันนี้มีเวลาไม่มาก เคยดูจากมุมสูงคราวนี้ได้เห็นมุมระดับน้ำมั่ง ไม่ค่อยเห็นมันวนน่ากลัวเหมือนมุมสูง


เรือ Whirlpool Jet พานักท่องเที่ยวมากระแทกคลื่นที่นี่ เสียงโห่ร้องอย่างสนุกสนานได้ยินจากทุกลำเรือ น่าตื่นเต้นดี


มองไปด้านบนก็ยังเห็นรถกระเช้าพานักท่องเที่ยวข้ามฝั่งไปมาเป็นระยะ ๆ น้ำในแม่น้ำขนาดมองที่ระดับน้ำยังเขียวจัด ถ้ามองมาจากด้านบนคงเขียวมาก ๆ เลย


ใช้เวลาชมเรือ ทอยหินลงน้ำไม่นานก็ต้องเดินกลับ ขากลับต้องขึ้นเนินสูง ทำเอาเหนื่อยหอบแฮก ๆ เลย


Niagara Glen Trail เป็นทา่งเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการยืดเส้นยืดสาย ชมวิวสวย ๆ ที่ไม่ไกลจากโตรอนโตเท่าไหร่ เลือกวันอากาศดี ๆ ไปปิกนิกและออกกำลังในขณะเีดียวกัน มีแต่ได้ ไม่มีเสียแน่นอน

Sunday, July 11, 2010

Camping in Ontario

อยู่ที่นี่มาตั้ง 15 ปีแน่ะ เพิ่งมีโอกาสไปแค้มปิ้งกับเขาคราวนี้แหละ ตื่นเต้นจัง เพื่อนชาวแคเนเดี่ยนที่คบกันมานานคนหนึ่ง ชอบแ้ค้มปิ้งเป็นอย่างมาก เธอมักจะไปแค้มปิ้งอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เราเลยขอไปด้วยสักครั้งหนึ่ง แค่อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร



ครั้งนี้เธอจองแค้มป์กราวนด์ไว้ที่ Awenda Provincial Park เธอจองไว้หลายเดือนแล้ว ปรกติการจองแค้มป์กราวนด์ก็ควรจะจองล่วงหน้านานหน่อย เพื่อจะได้ให้แน่ใจว่าได้ที่แน่นอน อีกอย่างถ้าจองเป็นก็จะจองล็อทที่ใกล้กับห้องน้ำหน่อย จะได้สะดวกขึ้นมาอีกนิด



Awenda Provincial Park อยู่ห่างจากโตรอนโตโดยทางรถยนต์ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง (ถ้ารถไม่ติด) เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Penetanguishene (่อ่านว่า เพเนแทงกวิชีน) ตั้งอยู่ติดกับ Georgian Bay ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบฮิวรอน หนึ่งในทะเลสาบทั้งห้าของทวีปอเมริกา



เราออกเดินทางกันหลังเที่ยง รถติดนิดหน่อย กว่าจะไปถึงก็หลังสี่โมงเย็นแล้ว ไปถึงก็เข้าไปลงทะเบียนที่สำนักงานอุทยาน จ่ายค่าธรรมเนียม ซื้อฟืนและน้ำแข็ง เขาห้ามหาไม้ในป่ามาทำฟืนเอง เข้าใจว่าเป็นการทำลายธรรมชาติแบบหนึ่ง



ล็อทตั้งแค้มป์เป็นที่โล่ง ๆ ตั้งเต้นท์ได้หลายเต้นท์ มีเตาก่อไฟให้ล็อทละอัน มีโต๊ะไม้ปิกนิกล็อทละ 2 โต๊ะ แต่ละล็อทจะห่างกันประมาณ 15 เมตรและมีป่าไม้คั่นกลาง ดังนั้นจะมีความเป็นส่วนตัวสูง ล็อทของเราห่างจากห้องส้วมและห้องอาบน้ำซึ่งเรียกว่า Comfort station ประมาณหนึ่งร้อยเมตร ซึ่งก็สะดวกดีไม่ไกลสำหรับเิดินไปใช้งานและไม่ใกล้มากจนได้ยินเสียงคนมาใช้บริการ ที่นี่เขาให้จอดรถได้แค่ล็อทละหนึ่งคันถึงแม้จะมีที่เหลือเฟือก็ตาม ถ้าล็อทไหนมีรถมาเกินหนึ่งคันต้องไปจอดในที่จอดรถที่เขาจัดให้



ถึงล็อทเราก็ช่วยกันตั้งเต้นท์ ก่อไฟ ได้เวลาทำกับข้าวพอดี มื้อเย็นวันนี้เป็นไส้กรอกย่างกับสลัด ย่างไส้กรอกไปดื่มไวน์ไป คุยกันไป สนุกดี เสียอย่างเดียวยุงเยอะไปหน่อย



เมื่อคืนดื่มไวน์ไปขวดหนึ่งสองคนกะเพื่อน วันรุ่งขึ้นเลยตื่นสายหน่อย ฟ้าสว่างโร่เลย อาหารเช้าง่าย ๆ กินแค่ซีเรียลกับนมเติมบลูแบรรีี่ กลั้วคอด้วยกาแฟ French Vanilla หอมกรุ่น การพักแค้มป์ เราต้องระวังเรื่องอาหาร ไม่ควรเอาวางไว้ข้างนอก เราจะเก็บใส่คูลเลอร์ หรือกล่องแล้วเอาใส่ท้ายรถไว้ตลอดเวลา เอาออกมาเมื่อต้องการกินเท่านั้น ไม่งั้นสัตว์ป่าจะได้กลิ่นและออกมาคุ้ยได้เมื่อเราเผลอ



หลังอาหารเช้าเราไปเดินป่ากัน เราเลือกเดินรอบทะเลสาบเค็ทเติ้ลส์ (Kettle’s Lake) ระยะทางโดยรวมประมาณ 5 กิโลเมตร



ระหว่างทางเห็นเห็ดหลากสีสวย ๆ เป็นระยะ ๆ



ทั้งที่ขึ้นบนดิน



หรือเห็ดที่งอกตามขอนไม้ ลวดลายต่าง ๆ กัน



เห็ดที่ขึ้นเป็นดง ไม่รู้กินได้หรือเปล่า



ทางเดินส่วนใหญ่เป็นป่าไม้สูง มีต้นเมเปิ้ลเป็นหลัก



บางส่วนเป็นสะพานไม้ ข้ามหนองบึงเล็ก ๆ มีหญ้าก้านธูปยาว ๆ ขึ้นเต็ม บางส่วนก็ได้กลิ่นดอกกุหลาบป่าหอมชื่นใจ



หลายจุดในทะเลสาบนี้มีดอกบัวสีขาวขึ้นเป็นดง



ดอกบัวขาวเกสรเหลือง ทำให้นึกถึงเมืองไทยได้เหมือนกัน



บางคนก็พายเรือแคนูรอบทะเลสาบ ชมดอกบัว เป็นกิจกรรมที่ดีอย่างหนึ่ง



กบสีเขียวเกาะบนหินสีแดง เป็นภาพที่หาชมยาก



หลังอาหารกลางวันซื่งก็คือขนมปังกับ Cold cuts ต่าง ๆ ตามด้วยผลไม้ล้างปาก เราไปว่ายน้ำกัน

น้ำที่ Georgian Bay ใสมาก ทรายใต้น้ำเป็นทรายละเอียด เดินนุ่มเท้า น้ำก็ไม่ลึกมาก เราว่ายน้ำห่างจากฝั่งประมาณ 100 เมตร น้ำสูงแค่ประมาณเมตรครึ่งได้ น้ำออกจะเย็นซักนิดแต่ว่ายแล้วชื่นใจ



ชายหาดที่พอนั่งได้มีไม่มากนัก คนเต็มเลย พาลูกเด็กเล็กแดงมาจับจองหาที่นั่งกันแต่เช้าเลย



เราพักที่แค้มป์อีกคืนหนึ่ง ก่อนกลับบ้าน เพื่อให้ทันดูบอลโลกคู่ชิงชนะเลิศ จึงเป็นเค้มป์สองคืนหนึ่งวันที่ประทับใจเป็นอย่างมาก

Saturday, May 15, 2010

PEI Lobster

วันนี้ได้กินกุ้งมังกรสด ๆ จาก Prince Edward Island เพราะคนใจดีอุตส่าห์หอบหิ้วขึ้นเครื่องมาให้

กุ้งมังกรทางฝั่งทะเลตะวันออกของแคนาดาหรืออเมริกาเปลือกที่หัวจะเรียบกว่ากุ้งมังกรของประเทศไทย หรือทางฝั่งทะเลแปซิฟิก ที่มีหนามแหลม ๆ ประปราย หรือที่เรียกกันว่ากุ้งมังกรหิน



ฤดูัจับกุ้งมังกรจะเริ่มเดือนพฤษภาคม กุ้งมังกรขนาดเล็กสุดขนาดลำตัวยาว 71– 81 มิลลิเมตร เรียกว่า Canner ถ้าเกิน 81 มิลลิเมตรขึ้นไปเรียกว่า Market size วันนี้เราได้กุ้งขนาด Market size โดยมีขนาด 1 ปอนด์ 5 ตัว และขนาดปอนด์ครึ่งอีก 2 ตัว

กุ้งมังกรสามารถเก็บได้ง่าย เวลาซื้อเป็น ๆ เขาจะบรรจุในกล่องพร้อมถุงเจลน้ำแข็งเพื่อรักษาความเย็น เวลาบินก็โหลดเข้าใต้ท้องเครื่อง เมื่อถึงบ้านสามารถเก็บไว้ในกล่องทิ้งไว้ในตู้เย็น กุ้งมังกรสามารถมีชีิวิตอยู่ได้ 2-3 วันเลย



เย็นวันนี้เราจะเอากุ้งมังกร 2 ตัวไปผัดผงกระหรี่ อีก 5 ตัวเอาไปต้ม การต้มกุ้งมังกรนั้นทำได้ง่าย ต้มน้ำในหม้อขนาดใหญ่กะให้ท่วมกุ้งมังกรให้เดือด กุ้งขนาด 1 ปอนด์ใช้เวลาต้ม 12-13 นาที กุ้งขนาดปอนด์ครึ่งใช้เวลาต้ม 17 นาที



โดยปรกติฝรั่งจะกินกุ้งมัวกรต้มกับเนยเหลว (lobster tail and drawn butter) แต่ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวหันมาสนใจเรื่องของสุขภาพกัน เลยไม่กินเนยเหลว พอต้มกุ้งมังกรเสร็จก็เลยแกะเนื้อออกมา เวลากินก็ทำเป็นเมี่ยงกุ้งมังกร โดยใช้ผักกาดแก้วห่อ



ใส่ซัลซ่าที่ทำโดยการหั่นหอม มะ่เขือเทศ สับปะรด อะโวคาโด้ เป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ ปรุงรสด้วยน้ำมะนาวพริกไทยและเกลือ เติมผักชีเด็ด ต้นหอมหั่นฝอย ราดน้ำจิ้มอาหารทะเลแบบไทย อร่อยมากมาย



เราไทยอย่างเราชอบแบบง่าย ๆ แค่ต้มแล้วผ่าครึ่ง แกะเนื้อมาจิ้มน้ำจิ้มอาหารทะเลเด็ด ๆ ก็พอใจแล้ว



กุ้งมังกรอีกสองตัว เราเอาไปสับเป็นชิ้น ๆ ผัดกับส่วนผสมประกอบด้วย ผงกระหรี่ น้ำพริกเผา ไข่ นมสด ซีอิ้วขาว เติมต้นหอมหั่น หอมหัวใหญ่ซอย และพริกหยวกแดงเพิ่มสีสัน ได้อาหารรสอร่อยถูกใจทุกคน

Friday, April 30, 2010

Hamilton – The city of waterfalls

วันนี้มีโอกาสได้ไปเที่ยวน้ำตกที่เมืองแฮมิลตัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโตรอนโตนัก ขับรถไปทางทิศตะวันตกแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง

แฮมิลตันได้ชื่อว่าเป็นเืมืองแห่งน้ำตกเพราะมีน้ำตกถึง 125 แห่ง มีขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้าง น้ำตกจะตั้งอยู่บนหน้าผาของเทือกเขาเตี้ย ๆ ชื่อ ไนแอการ่าเอสคาร์ปเม้นท์ (Niagara Escarpment) เป็นน้ำตกที่เกิดตามลำธารเล็ก ๆ



เราไปชมน้ำตกสองจุด จุดแรกอยู่บริเวณน้ำตก Albion Falls น้ำตกตั้งอยู่ข้างถนนเลย ไม่ต้องเดินไกล น้ำตกสูงแค่ 19 เมตร กว้าง 18 เมตร ปีีนี้น้ำไม่ค่อยเยอะ เลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่พอดูได้แหละ



เราเดินไปตามทางเดินป่าบนไหล่เขาลดละไปตามธารน้ำ แต่อยู่สูงกว่า มีต้นไม้ขนาดน้อยใหญ่ให้ร่มเงา เป็นต้นรูปร่างแปลกเลยถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น



ตามทางเดินเห็นดอกไม้เยอะแยะ เริ่มจากดอกประจำจังหวัดออนทาริโอ คือดอก Trillium สีขาวดอกใหญ่



ดอก Spring beauty สีขาวอมม่วงอยู่เป็นกลุ่ม ๆ สวยงามมาก



ดอก Trout lily หรือ yellow snowdrop ก็มีให้เห็นเป็นดงใต้ต้นไม้ใหญ่



ดอกไม้ป่าอีกเยอะแยะที่ไม่รู้จักชื่อ



จากนั้นเราไปแวะเที่ยวบริเวณน้ำตกเวบสเตอร์ส์ (Webster’s Falls) น้ำตกนี้สูง 22 เมตร ยาว 30 เมตร น้ำไม่เยอะอีกแหละ



บริเวณนี้เรียกว่า Spencer Gorge เรา้้ใช้เวลาเดินไปตามทางเดินป่าบริเวณนั้นอีกเช่นกัน มีจุดชมวิวน่าชมหลายจุด



บางจุดก็มองเห็นทะเลสาบออนทา่ริโออยู่ลิบ ๆ ด้วย



จาก Webster’s Falls ไปตามทางเดินประมาณ 900 เมตร จะไปเจอน้ำตกทิว (Tew’s Falls) เป็นน้ำตกเส้นบางสูง แต่น้ำน้อยอีกเช่นเคย



เดินต่อไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรเพื่อไปชมวิวที่ Dundas lookout เห็นเมือง Dundas อยู่ไม่ไกลเลย



เดินไปกลับขึ้นเขาลงห้วยอยู่ 5 กิโลกว่า เหงื่อตกซิก ดีกว่าออกกำลังที่ Gym เป็นไหน ๆ มีเสียงธารน้ำไหลเป็นดนตรีขับ มีหุบเหวเป็นจอทีวีให้ดูชม วันนี้จึงเป็นวันที่สุขใจอีกวันหนึ่ง

Monday, April 19, 2010

Cherry blossoms in High Park – 2010

ปลายเดือนเมษายนของทุกปีเป็นช่วงเวลาดอกซากูระบานที่โตรอนโต และเพราะสวนสาธารณะไฮพาร์กตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่ ผู้คนจึงหลั่งไหลไปชื่นชมความงามของมัน



คนหนุ่ม คนแ่ก่ มาเดี่ยว ๆ มาเป็นครอบครัว บ้างจูงหมา



แต่ทุกคนมักจะถือกล้องถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพสวย ๆ เป็นที่ระลึก หลายคนถือกล้องมีเลนส์ขนาดใหญ่เป็นมืออาชีพมาทีเดียว



ต้นซากูระนี้เป็นของขวัญที่ ท่านทูต Toru-Hagiwara ทูตญี่ปุ่นประจำแคนาดาในขณะนั้น ได้เป็นตัวแทนชาวโตเกียว มอบต้นซากุระ Somei-Yoshino Sakura จำนวน 2000 ต้นในแก่ชาวโตรอนโต ในปี 1959 (พ.ศ. 2502) จึงได้มีการปลูกต้นซากุระเหล่านี้ที่เนินดิน ใกล้ทะเลสาบ Grenadier Pond ในสวนไฮพาร์ก



นับแต่นั้นมาชาวโตรอนโต ก็ยังรับต้นซากุระจากญี่ปุ่นอยู่บ้าง ในปี 1984 ปี 2001 และปี 2006 ทำให้ได้เห็นดอกซากุระบานกระจัดกระจายอยู่ในสวน แต่ถ้านับอายุของซากุระรุ่นแรก ปีนี้ก็เป็นปีครบรอบ 51 ปี



ดอกซากูระเมื่อบานแล้วเป็นสีขาว แต่ถ้ายังตูมอยู่จะเห็นเป็นสีชมพู



ดอกจะบานในฤดูใบไม้ผลิโดยบานก่อนผลิใบ ทำให้เห็นเป็นต้นไ้้ม้สีขาวโพลนกลางท้องฟ้าใส


บางส่วนกิ่งไม้โน้มเข้าหากันมองเป็นเป็นอุโมงค์ต้นไม้สีขาวสวยงาม



ดอกไ้ม้จะงอกมาจากทุกกิ่งของต้นไม้ และเป็นเรื่องปรกติที่จะเห็นดอกไม้งอกมาจากลำต้นโดยตรง



ช่วงเวลาดอกบานแค่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ถ้าฝนตกแรง ๆ ดอกก็จะยิ่งร่วงเร็วขึ้น ฉะนั้นถ้าใครมีโอกาสก็ไม่ควรพลาดความงามตามธรรมชาติเช่นนี้