Sunday, July 05, 2009

Prince Edward Island - 1

Prince Edward Island (PEI) ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นเกาะ และก็เป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่เล็กที่สุดของแคนาดา



PEI ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแคนาดา รูปร่างของเกาะคล้าย ๆ ค้างคาวกางปีก ดินเป็นสีแดง พื้นที่ส่วนใหญ่ราบเรียบ ยกเว้นตรงกลางเกาะกว้างประมาณ 4 ไมล์ ยาวเต็มพื้นที่จากเหนือจรดใต้ ที่เป็นเนินสูงต่ำสวยงามมาก



ทั้งเกาะมีประชากรประมาณ 140,000 คน ส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นเกษตรกร เกาะนี้มีชื่อเสียงในการปลูกมันฝรั่งว่าปลูกได้ดีนับเป็นผลผลิตประมาณหนึ่งในสามของผลผลิตมันฝรั่งทั้งประเทศทีเดียว



ถ้าไม่เป็นเกษตรกรเขาก็จะเป็นชาวประมง ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงหอยแมลงภู่ (สีดำ) การเลี้ยงหอยนางรม หรือการจับกุ้งล๊อบสเตอร์ ต่างก็เป็นอาชีพที่สำคัญของเกาะนี้



เมืองหลวงของ PEI คือ Charlottetown เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่มีเสน่ห์ ตัวเมืองไม่ได้มีตึกสูงโด่เด่เหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป แต่ประกอบไปด้วยตึกรามบ้านช่องผสมกันทั้งเก่าทั้งใหม่ แต่มีสีสรรสวยงาม



Charlottetown เป็นสถานที่เกิดของสัญญาร่วมแคนาดา "Birthplace of Confederation" ที่ซึ่งตัวแทนของแต่ละจังหวัดขณะนั้นมาประชุมกันเพื่อปรับปรุงเศรษฐกิจของแคนาดาเป็นครั้งแรก ดังนั้นช่วงซํมเมอร์เขาจะมีคนแต่งตัวเีลียนแบบผู้เข้าร่วมประชุมพาทัวร์ตึกศาลากลางจังหวัด



เพื่อบริการนักท่องเที่ยวเขาทำท่าเรือน้ำลึกไว้จอดเรือสำราญขนาดใหญ่



นอกจากนั้นก็มีท่าเรือไว้ัจอดเรือยอช์ท ที่นี่มีแมงกะพรุนหลายชนิดอวดโฉมให้ชมกันทั่วหน้า



ที่พักของเรา

เราเลือกพักที่โรงแรม The Great George เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวครึ่ง ตั้งอยู่กลางตัวเมือง Charlottetown ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดนี้ ตึกหลักของโรงแรมเป็นตึกโบราณอันสวยงามทำเป็นล็อบบี้และห้องพัก แต่ทางโรงแรมยังซื้อบ้านเก่า ๆ ที่ติดกับตัวตึกในละแวกนั้น เขานำมาตบแต่งใหม่ ให้เป็นห้องรับรองสวยงามน่าอยู่



ห้องพักของเราเป็นห้องชุดสองชั้น ชั้นแรกมีห้องน้ำ ห้องซักผ้า ห้องครัว



ห้องนั่งเล่น รวมทั้งยังมีโต๊ะทำงานด้วยถ้าต้องการทำงานนิด ๆ หน่อย ๆ




ชั้นสองเป็นห้องนอนประกอบไปด้วยเตียงขนาดใหญ่และตู้เสื้อผ้าสองตู้



อีกด้านเป็นห้องน้ำขนาดใหญ่ มีทั้งอ่างจากูซี่และฝักบัว ใต้ช่องหลังคาโปร่งแสงเพื่อการประหยัดไฟให้โลกสวยงาม


โรงแรมบริการอาหารเช้าแบบ Continental ทุกวัน มีคุ้กกี้อบใหม่ ๆ และชากาแฟบริการตลอด 24 ชั่้วโมง และทุกเย็นวันธรรมดาก็มีค๊อกเทลไว้บริการแขกวันละ 1 ชั่้วโมง เราชอบโรงแรมนี้มาก เพราะตั้งอยู่กลางใจเืมือง บริการดี พนักงานยิ้ัมแย้มแจ่มใส สมระดับ

Saturday, May 23, 2009

ดูนกดูไม้ในสนามกอล์ฟ



ชอบตีกอล์ฟในฤดูใบไม้ผลิเพราะอากาศกำลังสบาย ไม่ร้อนแต่ก็ไม่หนาว กอร์ปกับสิ่งมีชิวิตต่าง ๆ ก็ฉลองโอกาสพิเศษนี้เช่นคนเรา เหมือนกัน ดอกไม้ดอกไร่ชูช่อเบ่งบาน สิงสาราสัตว์ก็ออกมาเพ่นพ่าน ร่าเริงกลางแจ้งให้เห็นกันทั่วไป



วันนี้ไปตีกอล์ฟตามหลังก๊วนกลุ่มใหญ่ เมื่อเราตีกันแค่สองคน เลยทำให้มีเวลาเหลือรอตีแต่ละหลุมเยอะแยะ เลยชักกล้องออกมาเก็บรูปธรรมชาติในและรอบ ๆ สนามกอล์ฟซะ



เดือนพฤษภาคม เป็นเดือนเดียวที่เราจะเห็นดอกทริลเลี่ยม (Trillium) ดอกไม้ประจำจังหวัดเบ่งบาน



และโชคดีที่ได้เห็นทั้งสีขาว สีชมพู และสีแดง



ผสมผเสไปในกลุ่มเดียวกันมีดอกFalse solomon's seal เป็นดอกสีขาว ๆ จะบานตอนที่ดอกทริลเลี่ยมเริ่มโรยแล้ว



รอบ ๆ สนามกอล์ฟมีบ้านนกกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เป็นที่อยู่ของนกหลายชนิด แต่ที่โชคดีไม่หนีกล้องวันนี้เป็นนก Tree Swallow เป็นนกท้องขาว หลังเป็นสีเขียวอมฟ้า ปีกออกสีน้ำตาลดำ สังเกตว่าจะมีนกหนึ่งตัวเฝ้ารังอยู่ คอยระวังภัยให้ลูกน้อย นกอีกตัวจะอยู่ไมไกล คอยห่วงหาอาทรเมื่อคนกรายเข้ามาใกล้



เจ้าลูกนกตัวน้อย ยังปีกไม่แข็ง ไม่สามารถไปไหนได้ ได้แต่โผล่หัวแอบมองโลกภายนอกอยู่ในรังที่อบอุ่น


ข้างหนองน้ำระหว่างหลุมที่สี่และหลุมที่ 5 นก Brewers Blackbird ชื่อก็บอกอีกแล้วว่านกสีดำ ตัวผู้ตัวดำเลื่อม หัวสีม่วงคอออกเขียว ๆ กำลังจับอยู่บนกิ่งไม้เล็ก ๆ สวยดี



นกดำปีกแดง (Red-winged Blackbird) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่านกสีดำปีกสีแดง มีให้เห็นอยู่ทั่วไป



Mallard Duck อยู่กันเป็นคู่ ๆ ตัวผู้มีหัวสีเขียวสด ตัวเป็นสีน้ำตาลแก่และอ่อนสวยมาก ตัวเมียเป็นตัวสีน้ำตาลลาย ๆ ช่างไม่ยุติธรรมเลย



นกตัวนี้ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยเองว่านกเลี้ยงวัวหัวสีน้ำตาล (Brown-headed Cowbird) ถ้าเป็นบ้านเราคงเรียกนกเอี้ยง เพราะนกประเภทนี้ชอบอยู่กับวัวหรือม้า เหมือนนกเอี้ยงอยู่กับควาย



ห่านแคนาดา ก็แตกลูกตกหลาน สืบทอดสายพันธุ์เลี้ยงดูกันไป



มีเวลาชื่นชมธรรมชาติรอบตัววันละนิด อย่าให้วัตถุครอบงำจิตใจ เป็นหนทางแห่งความสุขค่ะ

Monday, May 04, 2009

Cherry Blossoms in High Park - ดอกซากุระบานที่ไฮพาร์ก


ไฮพาร์กเป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองโตรอนโต เป็นที่พักผ่อนของคนในเมืองตลอดปี



วันนี้อากาศดี เราจึงถือโอกาสไปเดินเล่นหลังเลิกงาน แดดจัด อุณภูมิกำลังดี จึงทำให้คนมาเดินเล่นเยอะแยะ



ทุก ๆ ปี ช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นพฤษภาคม ขึ้นอยู่กับว่าอากาศจะอบอุ่นเพียงใด ดอกซากุระที่สวนสาธารณะไฮพาร์กจะเบ่งบาน



ปีนี้เทศกาลดอกซากุระบานที่เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Sakura Hanami ได้มีขึ้น ณ วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม ซึ่งก็คือเมื่อวานที่ผ่านมา



ดอกสีขาวเกสรสีชมพูหรือเหลืองชูช่ออวดความงามที่เนินรอบ ๆ ทะเลสาบ



ในปี 1959 (พ.ศ. 2502) ท่านทูต Toru-Hagiwara ทูตญี่ปุ่นประจำแคนาดาในขณะนั้น ได้เป็นตัวแทนชาวโตเกียว มอบต้นซากุระ Somei-Yoshino Sakura จำนวน 2000 ต้นในแก่ชาวโตรอนโต จึงได้มีการปลูกต้นซากุระเหล่านี้ที่เนินดิน ใกล้ทะเลสาบ Grenadier Pond ในสวนไฮพาร์ก



นับแต่นั้นมาชาวโตรอนโต ก็ยังรับต้นซากุระจากญี่ปุ่นอยู่บ้าง ในปี 1984 ปี 2001 และปี 2006 ทำให้ได้เห็นดอกซากุระบานกระจัดกระจายอยู่ในสวน แต่ถ้านับอายุของซากุระรุ่นแรก ปีนี้ก็เป็นปีครบรอบ 50 ปี พอดี



ทางเดินที่ดีที่สุดในการชมดอกซากุระ คือทางเดินรอบทะเลสาบ Grenadier มีซากุระปลูกข้างทางเดินตลอดแนว



ถ้าคุณจอดรถไว้ที่ข้างร้านอาหาร แล้วเดินลงเินินไปยังทะเลสาบ จะผ่านดงซากุระอันสวยงาม




ถ้านับจำนวนดูแล้วไม่ถึงพันต้น แต่ก็ให้ความตื่นตาตื่นในไม่น้อย



นอกจากดอกซากุระ ก็ยังเห็นแม็กโนเลียดอกใหญ่เบ่งบานสวยงาม



ดอกเป็นสีแดงอมม่วง ล่อตาล่อใจ หลายคนถือกล้องเดินถ่ายรูปขวักไขว่ไปหมด



ต้นซากุระบางต้นมีหนอน มีแมลงอาศัยอยู่ เป็นแหล่งอาหารที่ดีของนกในสวน



อากาศกำลังดี หงส์สีขาวไซร้ปีกอยู่ข้างสระน้ำ



น่าเสียดายว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจนปลายสัปดาห์ ฝนจะตกทุกวัน ทำให้ดอกไม้ร่วงหล่น



เมื่อสุดสัปดาห์มาถึงอาจไม่มีซากุระหลงเหลือให้ชื่นชมอีก คงต้องรอจนกว่าเมื่อปีหน้าฟ้าใหม่จะมาถึง

Wednesday, April 15, 2009

เกาะ Antigua - ตอนที่ 5

อาหารและอื่น ๆ

พูดถึงเรื่องเที่ยวก็ต้องพูดเรื่องกิน ไม่งั้นมันไม่ครบรส

นักท่องเที่ยวบนเกาะส่วนใหญ่รับประทานอาหารในโรงแรมที่พัก เชฟใหญ่ประจำแต่ละโรงแรมมักเป็นเชฟผิวขาวนำเข้ามาจากต่างประเทศ อาหารที่โรงแรมจึงเป็นอาหารแบบโรงแรม สามดาว ขึ้นไป มีการจัดแต่งอย่างสวยงาม รสชาติของอาหารก็เป็นไปตามเชฟแต่ละคน แต่ก็ไ่ม่ใช่อาหารท้องถิ่นเลย



ถ้าใครอยากทานอาหารท้องถิ่นก็ต้องออกไปทานข้า่งนอกโรงแรม อาหารท้องถิ่นที่เกาะนี้ก็คล้าย ๆ เกาะอื่น ๆ ในแถบทะเลแคริบเบี้ยน คือ มี บาร์บีคิวแบบเวสต์อินดี้ โดยใช้ไก่ หรือซี่โครง ทำออกมาเนื้อนุ่มชุ่มซ้อส



มีแกงแพะ เนื้อ หรือไก่ เป็นแกงกะหรี่สไตล์แคริบเบี้ยนอีกเหมือนกัน รสชาติจัดจ้าน เสริฟกับข้าวหุงผสมถั่ว และสลัดเล็ก ๆ



แต่อาหารที่คนท้องถิ่นแนะนำว่าต้องลองคือ ฟุนจี้ (Fungee) ทำจากข้าวโพดป่น (Cornmeal) ผสมกับลูกกระเจี๊ยบ เขากินฟุนจี้เทียบกับการกินข้าวบ้านเรา



นอกจากนั้นก็ยังต้องลองปลาเค็ม (Salt fish) เป็นของคู่กันกับฟุนจี้ เขาเอาปลาเค็มไปแช่น้ำหลาย ๆ น้ำ ให้หายเค็มก่อนเอาไปประกอบอาหารตามต้องการ ที่เราลองทานก็แค่เอาไปคลุกผงแป้งแล้วทอด โรยหอมซอย อร่อยดี



เบียร์ท้องถิ่นยี่ห้อ Wadadli ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเกาะ ส่วนเครื่องดื่มที่ควรลองคือน้ำน้อยโหน่ง (Sour Sop) ซึ่งเขาผสมนมและน้ำตาลจนหวาน น้ำขิง (Ginger beer) หรือน้ำมะขามเปรี้ยวหวานกำลังดี



อาหารท้องถิ่นหลัก ๆ ก็มีแค่นั้น เราว่าค่อนข้างแร้นแค้นเพราะเกาะตั้งอยู่ไกลผู้ไกลคน มีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์อยู่บนเกาะก็จริง แต่ไม่พอกิน ต้องอาศัยการนำเข้าอาหารเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะต้องรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวมากมาย



ที่เราตั้งข้อสงสัยอีกอย่างคือ เกาะนี้มีน้ำทะเลล้อมรอบ กุ้ง หอย ปู ปลา ก็อยู่ในน้ำ แต่เราไม่เห็นเรือประมงเลยซักลำ มีแต่ชาวบ้านตกปลาด้วยสายเบ็ดไม่มีคัน ตามโขดหินหรือหนองน้ำต่าง ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ



ดังที่กล่าวไปแล้วว่าหาดทุกหาดบนเกาะถือเป็นที่สาธารณะ ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้ ถ้ามีโรงแรมหรือรีสอร์ทตั้งอยู่ใกล้หาด เขาต้องสร้างทางเข้าแ่ก่สาธารณชนโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งเราถือว่าเป็นเรื่องดีมาก หาดข้างรีสอร์ทที่เราพักถือเป็นหาดที่เป็นที่นิยมของคนบนเกาะด้วย เพราะมีขนาดกว้างใหญ่ และมีต้นมะขามต้นใหญ่ให้ร่มเงาหลายต้น โดยปรกติจะเงียบสงบ แขกที่รีสอร์ทพักผ่อนอย่างเงียบ ๆ ทั้งวัน



วันศุกร์วันนั้นเป็นวันหยุดทางศาสนาคริสต์ (Good Friday) คนบนเกาะก็ไม่ต้องไปทำงาน ก่อนเที่ยงเขาเริ่มมาปิกนิก มีการตั้งเต้นท์นอนหลายเต้นท์ ขนอาหาร เครื่องดื่มมาเพียบ (ทำให้นึกถึงตอนคนไทยไปเที่ยวหาดเป็นกลุ่ม ๆ อย่างช่วยไม่ได้) ยึดร่มเงาใต้ต้นมะขาม



เด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ใส่ชุดบิกินี่สีสด วิ่งเล่นตามหาด คนเริ่มมามากขึ้นเรื่อย ๆ พอถึงเวลาอาหารกลางวัน แขกที่รีสอร์ทไม่มีเหลือบนหาดซักคน เหลือแต่เจ้าถิ่นเล่นน้ำทะเลเสียงอึกกะทึกครึิกโครมไปหมด ก็พอสรุปได้ว่าชาวเกาะแอนที้ก้าเขาชอบสนุกสนานเฮฮากัน



จำนวนคืนที่อยู่บนเกาะ 7
จำนวนมื้ออาหารที่ทานบนเกาะ 21
จำนวนรูปที่ถ่าย หลายร้อย
ระดับความสุขที่ได้รับ ไม่สามารถวัดได้
ระยะเวลาที่จะอยู่ในความทรงจำ นานแสนนาน



จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ