Sunday, June 17, 2007

Scarborough Bluffs

Scarborough Bluffs




สการ์โบโร่บลัฟฟ์ส เป็นหน้าผาสูงริมฝั่งทะเลสาบออนทาริโอเกิดจากการยุบตัวของดินเหนียวรอบ ๆ ฝั่งเป็นรูปร่างที่น่าสนใจ จาก Eastern Beaches of Toronto ทางทิศตะวันตก ถึง West Hill ทางทิศตะวันออกของโตรอนโต รวม ๆ แล้วมีความยาวประมาณ 14 กิโลเมตร


ถ้าจะไปเที่ยวก็ขับรถไปสการ์โบโร ง่าย ๆ ก็ใช้ทางหลวง 401 ไปทิศตะวันออกของโตรอนโต ออกไปยังถนน Brimley แล้วก็ขับไปทางทิศใต้หันหน้าเข้าหาทะเลสาบไปจนสุดถนนก็จะเจอ Bluffers Marina Park รวม ๆ แล้วจากตัวเมืองโตรอนโตก็ไม่น่าจะใช้เวลาขับรถเกิน 30 นาที





ในพาร์กก็จะมีที่นั่งเล่นหรือปิกนิก มีที่จอดเรือยอร์จทั้งหลาย มองเห็นวิวทะเลสาบ และวิวของผาสูงสวยงาม


ถ้าวันไหนอากาศดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีแสงแดดส่องอบอุ่น หรือฤดูใบไม้ร่วงที่มีสีสันสวยงาม เรามักจะขับรถไปเดินเล่นที่นี่ ผ่อนคลายความเครียด ชื่นชมบรรยากาศ ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงาม


และถึงแม้หลาย ๆ คนในโตรอนโตจะรู้เกี่ยวกับ Scarborough Bluffs แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ไปเยี่ยมเยือน สถานที่แห่งนี้จึงเหมือนช้างเผือกในป่า รอใครมายล

Wednesday, June 13, 2007

เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล

พฤษภาคม 2007

ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เคยได้ไปนอนเล่นน้ำพักผ่อนอยู่บนแพที่เขื่อนแม่งัดกับเพื่อน ๆ ซะหนึ่งคืน เป็นความสุขที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำ ครั้นได้วางแผนกลับไปเที่ยวบ้านคราวนี้ก็เลยอยากจะไประลึกถึงความหลังซะหน่อย จึงชวนพี่น้องและครอบครัวไปนั่งทานอาหารกลางวันอร่อย ๆ ที่แพ



จากเชียงใหม่ไปตามถนนสายแม่ริม แม่แตง ประมาณซัก 50 กม. ก็เจอป้ายหน้าเขื่อน เลี้ยวเข้าไปตามทาง ก็จะถึงเขื่อน จ่ายตังค์ค่าเข้าอุทยานก่อนเลยคนละ 20 บาท และก็ค่ารถยนต์อีก 40 บาทมั้งจำไม่ได้แล้ว แล้วก็นั่งเรือเพื่อไปยังแพลอยน้ำกลางเขื่อนอีกประมาณ 8 กิโลเมตรจากฝั่ง ค่าเรือ 400 บาทใช้เวลานั่งเรือประมาณ 15 นาทีได้

ถึงแม้วันนี้เป็นวันอาทิตย์แต่คนก็ไม่เยอะอาจกลัวฝนตกกันเพราะฟ้าก็มืด ๆ มัว ๆ อยู่ แต่เราก็ไม่มีโอกาสกลับบ้านบ่อยนัก ก็ต้องไปแหละ ไปถึงแพหลายหลังติดกันอยู่กลางน้ำ ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเรา เป็นส่วนตัวดีมาก พวกเราเตรียมอาหารมาจากบ้านนิดหน่อย ที่เหลือเราก็สั่งจากแพอาหาร ถ้าชอบกินปลา สั่งอาหารเป็นปลาสร้อยทอดกรอบ ๆ อร่อยมาก ปลาบู่นึ่งมะนาว ลาบปลาดุก ปลาบึกผัดฉ่า มีให้สั่งมากมาย



ระหว่างรออาหารก็ทานกับข้าวที่เอามาจากบ้านไปก่อน พากันตกปลาเล่น ก็เล่นจริง ๆ แหละตกอยู่หลายชั่วโมงไม่ได้ปลาซักตัว



อันเขื่อนแม่งัดนี้ สร้างขึ้นมาโดยการกั้นแม่น้ำแม่กวง น้ำถูกล้อมรอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่ บรรยากาศดีมาก ใครที่อยากมาค้างคืนก็ทำได้ แต่ที่นอนหมอนมุ้งก็เป็นแบบชาวบ้านธรรมดา ไม่หรู อันนี้ต้องทำใจ ถ้าอยากว่ายน้ำก็ลงเล่น อยากตกปลาก็ตก อยากหลับก็นอน ถ้าไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำอะไร สบาย ๆ ไม่มีใครว่า



เวลาผ่านไปเกือบสี่ชั่วโมงหมดเบียร์ไปหลายขวด อาหารเกลี้ยงทุกจาน ธรรมชาติเหลืออยู่คงเดิม เช็คบิลไปไม่ถึงแปดร้อย รวมค่าใช้แพไปแล้ว ถือว่าไม่แพงสำหรับบรรยากาศดี ๆ แบบนี้

Tuesday, June 12, 2007

น้ำตกไนแอการ่าตอนหน้าหนาว - Frozen Niagara

March 2007
มีนาคม 2007

I had been to Niagara Falls so many times, but never in winter. Since it had been very cold for a few days, I thought it's a good idea to see the frozen falls for the first time.

ไปเที่ยวน้ำตกไนแอการ่าก็หลายทีแล้ว แต่ไม่เคยไปตอนหน้าหนาวเลย ข่าวร่ำลือว่าสวยนักหนา ปีนี้ฤกษ์ดี อากาศหนาวติด ๆ กันมาหลายวัน น้ำตกคงแข็งได้ที่




The sun was out, so the weather was nice. We had a crisp, cold and clear day. It took us an hour and a half to get to the falls. I saw a perfect picture of the American falls. Ice floated along the river and the falls were coated with frost.

อากาศดี ฟ้าโปร่ง ขับรถชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว ภาพสวยอย่างใจฝัน ในแม่น้ำไนแอการ่าบริเวณใต้น้ำตกเกือกม้าถึงน้ำตกฝั่งอเมริกัน มีน้ำแข็งลอยล่องสวยงาม ละอองจากน้ำตกอเมริกันเองก็แข็งตัวเคลือบน้ำตกไว้





On the Canadian side, the horseshoe fall looked nice and soft with ice and frost all over it.

ด้านน้ำตกเกือกมาก็ดูนุ่มนวลด้วยละอองน้ำแข็งตัวอยู่รอบ ๆ เคลือบทั้งน้ำตกและต้นไม้รอบ ๆ ดั่งปุยฝ้ายขาวนวล



The buildings near the falls were also covered with ice, gave out another picture perfect.
สิ่งปลูกสร้างโดยรอบก็ไม่มีข้อยกเว้น ละอองน้ำปลิวไปเกาะตรงไหน ก็สวยอยู่ตรงนั้น ภาพราวบันไดของตึกเทเบิ้ลร็อกจึงออกมาสวยงามอย่างนี้


Mist from the falls also froze on the trees around the falls, made it a scene to remember.
หันกลับมาดูต้นไม้รอบ ๆ น้ำตกมั่ง สวยเหมือนภาพเขียน ของจิตรกรผู้มีจินตนาการดีเลิศ เวลาขับรถชั่วโมงกว่า ๆ คุ้มกับภาพสวยติดตรึงตราตลอดไป




บลูเมาเท่น Blue Mountain

ทริปนี้เราไปเที่ยวสถานที่พักต่างอากาศที่ Blue Mountain ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Collingwood ซึ่งอยู่ห่างโตรอนโตไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

จากโตรอนโตขับรถไปทางทิศเหนือตามทางหลวงสาย 400 แล้วแยกไปตามทางหลวงสาย 26 ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง

Blue Mountain วันนี้ต่างจากเืมื่อเราเคยมาสิบปีก่อนมาก สถานที่พักต่างอากาศ บ้านเรือนผุดขึ้นมากมาย ที่ที่เคยเป็นแค่ทุ่งกว้างเี่ดี๋ยวนี้กลายเป็นคอนโดหรือโรงแรมหรูไปหมด



วันแรกไม่ได้ทำอะไรมากหาที่ทานอาหารกลางวันได้ที่ Blue Mountain Village ซึ่งเป็นแหล่งชอปปิ้งและโรงแรมเล็ก ๆ ที่ตีนเขา Blue Mountain เขาออกแบบคล้าย ๆ แหล่งที่พักเพื่อสกีแถว ๆ สวิสเซอร์แลนด์ หลังคาเอียงลาดเพื่อให้หิมะลื่นตกพื้นได้สะดวก มีโรงแรมติดกันหลายโรง ใต้ถุนทำเป็นร้านอาหาร หรือร้านขายของหลากชนิด ทั้งอุปกรณ์สกี เสื้อผ้า เป็นต้น

หลังอาหารกลางวันแล้วเราเลยไปตีกอล์ฟที่สนามใกล้ ๆ รอบหนึ่ง วันอาทิตย์ก็หมดไปแล้ว เริ่มต้น Vacation ด้วยวันง่าย ๆ

วันจันทร์เรามีแผนไปดูน้ำตกต่าง ๆ ในบริเวณนั้น เริ่มต้นด้วยน้ำตก Walters Falls ซึ่งทำให้เราผิดหวังมาก ที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปดูเพราะมันไม่สวยเลย เป็นน้ำตกเล็ก ๆ สูงประมาณ 30 ฟุตเห็นจะได้ แถมมีท่อน้ำล้นอยู่ใกล้ ๆ อีก โอ้ยเห็นแล้วคิดถึงเมืองไทย

น้ำตก Eugenia ตกจากหน้าผาสูงเดินเข้าไปใกล้ไม่ได้ แต่มีทางเดินรอบ ๆ ให้ชมน้ำตกและฟังเสียงน้ำไหลซู่


และน้ำตก Hoggs นั้นค่อยยังชั่วหน่อย เพราะมีขนาดใหญ่กว่านิดหน่อย ถึงแม้มีแค่ชั้นเดียว แต่ก็พอดูได้ ที่นี่บริเวณน้ำตกไม่มีคนเข้ามาตั้งเพิงขายส้มตำ ไก่ย่างเหมือนเมืองไทย เป็นธรรมชา่ติจริง ๆ


ตอนบ่ายเราก็ไปเดินเล่นแถว ๆ รีสอร์ท เดินดูบ้านสวย ๆ กัน Blue Mountain นั้นเป็นแหล่งบ้านพักต่างอากาศมานานแล้ว (Cottage Country) สถานที่เอื้ออำนวย มีภูเขาเตี้ย ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเืทือกเขาไนแอกร่า (Niagara Escarpment) ซึ่งยาวประมาณ 725 กม. เริ่มตั้งแต่ทะเลสาบออนทาริโอใกล้น้ำตก Niagara Falls ไปจนถึงยอดแหลมของ Bruce Peninsula ระหว่างอ่าวจอร์เจี่ยนกับทะเลสาบฮิวรอน (between Georgian Bay and Lake Huron)


ซึ่งเหมาะแก่การเ่ล่นสกี ทั้งยังมีชายหาดตื้้น ๆ หลายแห่งเหมาะแก่การเล่นน้ำ

วันอังคารเราตื่นแต่เช้าตรู่ไปขับรถไป Tobermory เมืองที่อยู่ปลายเหนือสุดของ Bruce Peninsula ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 ชั่วโมง ท่าเรือ Tolbermory ดูคึกคักมีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ดูเหมือนทุกคนจะมีจุดหมายเดียวกันที่เกาะกระถาง (Flowerpot Island)



ที่นี่เราได้นั่งเรือออกไปดูซากเรือจม เรือเหล่านี้ถูกจอดทิ้งอยู่แถวนี้ เวลานานผ่านไปก็จมลงใต้น้ำ ไม่มีใครอยากกู้ขึ้นมา ตอนนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองน้ำไปเสียดิบดี



ก่อนออกสู่ทะเลสาบก็มีหอประภาคาร สีขาวแดงโดดเด่น เหมือน ๆ กับเมืองชายทะเลโดยทั่วไปที่จะต้องมีหอประภาคารเพื่อแสดงตำแหน่งเมืองให้ชาวเรือทราบ

ไม่นานเราก็ถึงเกาะกระถาง Flower Pot Island ทำไมถึงเรียกว่าเกาะกระถางล่ะ ก็เพราะหินบางส่วนถูกกระแสน้ำกัดกร่อนไปเหลือเป็นรูปแท่งคล้ายกระถางดังนี้แล


และเดินรอบเกาะ Flowerpot ซึ่งมีจุดชมวิวสวย ๆ หลายจุด อากาศดี วิวสวย จะเอาอะไรมาแลกก็ยังคิดหนัก



วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส รูปออกมาสีจัดดี ตลอดสองข้างทางนั้นมีเทือกเขาไร่นากว้่างสุดลูกหูลูกตา บางแ่ห่งเป็นฟาร์มเลี้ยงวัว หรือแกะ หรือม้า แคนาดาเนี่ยช่างกว้างใหญ่จริง ๆ แต่มีคนอยู่นิดเดียว



ขากลับเราแวะที่เมืองมีฟอร์ด Meaford ดูท่าเรือ ซึ่งก็เหมือน ๆ กับเมืองชายฝั่งทะเลสาบของออนทาริโอโดยทั่วไป เงียบสงบ และสวยงาม ตรงท่าเรือมีเรือกู้ภัยซึ่งเลิกใช้แล้วขึ้นคานรอให้คนชมอยู่ สีแดงของเรือตัดกับสีฟ้าของฟ้าสวยดีอีก



วันพุธเราไป Scenic Caves ซึ่งตามความเป็นเราแล้วไม่น่าเรียกว่า Cave เลย น่าจะเรียกว่าซอกผามากกว่า ภายในเย็นร่มรื่นดี มีจุดชมวิวที่มองเห็นตัวเมืองตรงอ่าวจอร์เจี่ยน เห็นน้ำสีครามตัดกับฟ้าสีใสดูสวยดี



ใกล้ ๆ กันเดินไปประมาณ 10 นาทีมีสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในออนทาริโออยู่ เดินข้ามสะพานมองเห็นต้นไม้ตามไหล่เขา ถ้ามาตอนฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เป็นสีเหลืองส้มจะสวยไปอีกแบบ


พอตกบ่ายก็ไปตีกอล์ฟอีกรอบหนึ่ง ก็จบวันพอดี

กระบี่ 2



วันนี้หลังจากรับประทานอาหารเช้าตุนกำลัง จบท้ายด้วยผลไม้แสนหวาน (ในความเห็นเราไม่มีสับปะรดที่ไหนจะหวานเท่าสับปะรดเมืองไทยเลย) ก็เตรียมข้าวของ เสื่อ ผ้าเช็ดตัว และของขบเคี้ยวไปนั่งเล่นที่หาดนพรัตน์ธารากันดีกว่า



จากโรงแรมเดินไปหาดนพรัตน์ไม่ไกลเลย เดินไปกับเด็กตัวเล็ก ๆ สองคนใช้เวลาเดินประมาณ 10-15 นาทีได้ ก่อนถึงหาดต้องข้ามสะพานคลองแห้ง เห็นวิวสวย มีสะพาน แม่น้ำ และภูเขา ที่ๆ คลองแห้งไหลพบจบทะเล



ใต้สะพานมีเรือหางยางจอดอยู่เต็มไปหมด เข้าใจว่าเป็นช่วงฤดูที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะ ไม่อย่างนั้นเรือเหล่านี้ก็คงออกทะเลบริการนักท่องเที่ยวไปหมดแล้ว เรือหลายลำเกยตื้น ทำให้นึกถึงสาเหตุที่เขาเรียกว่าคลองแห้งก็คงเพราะเวลาน้ำลง คลองแห้งก็แทบไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย



ชา่ยหาดวันนี้เงียบสงบ ไม่มีคนเลยนอกจากพวกเรา เหมือนเป็นหาดส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น หาดนพรัตน์ธาราขึ้นชื่อในเรื่องของหอย บนหาดมีเปลือกหอยเกลื่อนไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหอยเม่น ถ้าเดินไม่ระวังก็เหยียบกันแตกตุ๊บตั๊ํ่บ



น้ำทะเลที่หาดนี้ตื้น ๆ เขาว่ากันว่าถ้ามาในช่วงน้ำลด สามารถเดินไปถึงเกาะเล็ก ๆ ที่เห็นอยู่ไม่ไกลจากหาดนั่นได้โดยไม่จม ระหว่างที่ันั่งเล่นกันอยู่ก็มีรถมอเตอร์ไซด์พ่วงของชาวบ้านมาขายของกินเล่นอยู่บ้าง ราคาไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับอ่าวนางที่มีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด



ว่ายน้ำทะเลเล่นจนตัวเค็ม ตะวันบ่ายคล้อย พวกเราก็กลับมาว่ายน้ำเล่นที่สระของโรงแรมต่อ วิวของสระน้ำที่โรงแรมก็สวย สระน้ำแบบไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนทิ้งตัวไปสู่หุบเขาและแมกไม้สีเขียวชะอุ่ม



จบท้ายของวันด้วยภาพตะวันตกดินหลังโรงแรมทรงบ้านไทยที่ขอบสระน้ำ โรแมนติกดีนะ

จริง ๆ แล้วทริปนี้อยู่ 4 วัน 4 คืน แต่ไม่ได้ถ่ายรูปช่วงสองวันหลัง ได้พักผ่อนสบาย ๆ ไม่ทำอะไรมาก ก็เอามาเล่าแค่สองวันนะจ๊ะ

Monday, June 11, 2007

กระบี่ 1

พฤษภาคม 2550

สองอาทิตย์ก่อนที่เราจะเดินทางไปยังกระบี่ พายุฝนกระหน่ำหลายจังหวัดในประเทศไทย เฝ้ามองเวปพยากรณ์อากาศทุกวัน ลุ้นไปด้วยว่ากว่าเราจะเดินทางถึงกระบี่พายุฝนคงผ่าน ฝนคงหยุดตก ไม่งั้นเป็นต้องนั่งเหงาเฝ้าห้องโรงแรมที่พักไป

จะเป็นด้วยโชคดีหรือบุญเก่าสนองผลก็ตาม เมื่อเราเดินทางไปถึงสนามบินกระบี่นั้น ไม่มีเค้าฝนเลยซักนิด ถึงแม้จะเป็นเวลาเกือบสองทุ่มอากาศก็ยังร้อนอบอ้าว เหงื่อไหลซึมจนเสื้อชุ่ม อย่างนี้ถ้ามีฝนตกก็จะช่วยลดความร้อนอบอ้าวได้บ้าง เอ้า..เป็นงั้นไป เราเลือกพักที่โรงแรมปกาศัย โรงแรมดี เงียบสงบ พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส มุมอาหารเช้าอยู่กลางสวนสวย มีน้าพุ ไม้ดอกไม้ใบและกล้วยไม้งาม ๆ ให้นั่งดูไปด้วย

หลังจากอาหารเช้า เรากะว่าจะออกไปเดินเล่นแถวอ่าวนาง ถือเสื่อและผ้าเช็ดตัวที่โรงแรมเตรียมไว้บริการพร้อมผลไม้นิดหน่อย เพื่อไปหาที่นั่งเล่นหน้าหาด พร้อมกับมองหาทัวร์สี่เกาะสำหรับวันรุ่งขึ้น แต่เนื่องจากท้องฟ้าสดใสเสียเหลือเกิน ก็เลยตัดสินใจไปกับทัวร์ซะวันนั้นเลย

ตกลงจ่ายค่าเช่าเรือหางยาวที่ 1800 บาทต่อวัน คนขับเรือไปเช่าหน้ากากดำน้ำตื้นให้ในราคาอันละ 50 บาท เราก็ไปสั่งข้าวผัดที่ร้านอาหารแถวนั้น แพงดีเหมือนกัน ข้าวผัด 4 ห่อและปลาหมึกชุบแป้งทอดหนึ่งที่เป็นเงินทั้งสิ้น 495 บาท หาซื้อน้ำและของคบเคี้ยวที่ร้านมินิมาร์แถวนั้น เมื่อพร้อมแล้วก็เป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า
เราไปเกาะทับก่อน ตรงที่มีทะเลแหวก เพียงแต่ว่ามันยังไม่แหวกเท่านั้นเอง แต่มองเห็นเป็นแนวทรายใต้ทะเล มีคนหลาย ๆ คนพยายามเดินไปบนนั้น น้ำทะเลใสแจ๋ว ทรายขาวนวล มองเป็นปลาสีสวยเป็นฝูงใต้น้ำ เสน่ห์ทะเลไทย

จากนั้นเราไปเกาะไก่ ซึ่งเราว่าเหมือนไก่งวงมากกว่าไก่ใด ๆ ทั้งสิ้น น้ำทะเลเป็นสีเขียวใส ดำน้ำดูปะการังและปลาสีสวย ปลาเหล่านี้ไม่กลัวคนเลย ว่ายเข้ามาใกล้ ๆ หาขนมปังกินตามที่เคย ๆ มา ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งดีหรือร้ายกันแน่

แวะกลับมาที่เกาะปอดะ เริ่มหิว กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ น้ำใส ทรายขาว ทำให้ข้าวผัดธรรมดา ๆ รสชาติอร่อยเสียเหลือเกิน หลังทานข้าวเราว่ายน้ำเล่น ปลาตัวเล็กอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ทำให้มองเห็นเป็นเงาสีดำทมึนใต้น้ำ ว่ายน้ำจนแดดเผาเกรียม แต่มีความสุขจริง ๆ นะ

บ่ายจัดเราแล่นเรือไปหาดไร่เลย์ เพื่อแวะชมถ้าพระนาง น้ำใสน่าเล่นอีกแล้ว แถวนี้มีร้านอาหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมบนหาดนี้ บรรยากาศน่านั่งมาก เสียแต่ว่าเขาเอาใว้บริการเฉพาะแขกของโรงแรมเท่านั้น ไม่เป็นไรเราไม่ได้เสียผลประโยชน์ เจ้าของโรงแรมต่างหากที่ไม่ได้เงินจากเรา


ใกล้ถ้ำพระนางมีโขดหินสูง นักท่องเที่ยววัยรุ่นปีนขึ้นไปแล้วกระโดดลงมา น่าสนุก แต่แก่ ๆ อย่างเรามองเฉย ๆ ดีกว่า วันนี้เราก็เลยจบความสนุกในธรรมชาติอันสวยงามของกระบี่ที่ถ้ำพระนาง