Sunday, March 28, 2010

ลาบเป็ด

เป็นครั้งแรกที่เขียนบล็อกเกี่ยวกับการทำอาหาร ที่ไม่อยากทำเพราะใช้เวลาเยอะมาก ทำไปถ่ายรูปไป มื้อก็เปื้อนด้วย และรูปเวลาถ่ายในครัวก็ไม่ค่อยสวย เพราะมักจะทำอาหารในตอนเย็นหรือตอนกลางคืนซึ่งแสงธรรมชาติไม่มีแล้ว ที่ตัดสินใจทำวันนี้ก็เพราะเป็นอาหารจานพิเศษที่นาน ๆ ทำทีหนึ่ง เพราะต้องใช้เวลาทำนานมาก แต่ก็อร่อยทุกครั้งที่ทำ ใช่แล้ว ลาบเป็ดนั่นเอง



วันนี้ซื้อเป็ดมาทั้งตัว แล้วเอามาแล่หนังออกก่อน วิธีลอกหนังไม่ยากเท่าไหร่ เพราะมันมีเนื้อเยื่อระหว่างหนังกับเนื้ออยู่แล้วค่อย ๆ ลอกไปด้วยมือ บางทีก็ใช้มีดเล็ก ๆ แซะไปไม่นานก็เสร็จ



จากนั้นต้องแล่เนื้อเป็ดออก เนื้อส่วนใหญ่จะไ้ด้มาจากอก ปีกเล็ก น่องและตะโพก เนื้อเป็ดเป็นสีเข้มกว่าเนื้อไก่ ฝรั่งเรียก dark meat รสชาติอร่อยกว่าเนื้อขาว ๆ อย่างเนื้อไก่เป็นไหน ๆ เนื้อเป็ดเอาไปสับรอไว้



ส่วนที่เหลือของตัวเป็ด ไ่ม่ว่าจะเป็นหัว คอ ปีก ตีนเป็ด และโครงกระดูกที่มีเนื้อติดพอประมาณ เอามาสับเป็นชิ้น ๆ สำหรับทำต้มแซบ



หนังที่ได้เอามาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดประมาณครึ่งนิ้วได้ แล้วเอาไปเจียวด้วยไฟอ่อนถึงปานกลาง จะได้หนังเป็ดกรอบ สีน้ำตาลอ่อน เอาไว้โรยหน้าลาบต่อไป



หลังจา่กเจียวหนัง ได้น้ำมันจา่กเป็ดตัวนี้มาประมาณ 2 ถ้วยตวง จะเก็บไว้ทำอาหารต่อไป (เป็นคนไม่ค่อยกลัวคอเรสเตอรอลเท่าไหร่)



จากนั้นก็มาเตรียมผักกัน วันนี้เรามีผักชี ต้นหอม ผักชีฝรั่ง ผักแพว (ภาคเหนือเรียกผักไผ่) ใบสะระแหน่ ตะไคร้ ทั้งหมดเอามาหั่นให้ละเอียด เอาไว้ผสมลาบ



ตะไคร้ต้องหั่นให้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้จะต้องใช้มีดที่คมมาก ๆ หั่นกระเทียมบาง ๆ ซักกลีบด้วยก็ดี



นอกจากนั้นก็ต้องหั่นหอมแดง ข่าอ่อน และใบมะกรูดด้วย เมื่อเอามาผสมกับลาบจะได้รสชาติที่หลากหลายและอร่อย



เครื่องปรุงรสจะประกอบไปด้วยน้ำพริกลาบเชียงใหม่ ที่ทำจากพริก ลูกผักชี และเครื่องเทศแห้งอื่น ๆ เอามาคั่วให้หอมและตำให้ละเอียด เราจะเอามาตำรวมกับข่าและกระเทียมเพิ่มรสชาติ



หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราก็มาเริ่มทำลาบกัน เริ่มจากเอาเนื้อเป็ดที่สับไว้ไปคั่วรวมกับกระเทียมและหอมแดงสับละเีอียด ใช้น้ำเล็กน้อยพอไม่ให้มันแห้ง



พอเนื้อเป็ดสุกได้ที่ก็เอามาปรุงรสด้วยพริกลาบที่โขลกไว้ เิติมมะนาว น้ำปลา ข้า่วคั่ว ชิมให้ได้รสชาติที่เข้มข้น ก่อนเติมผักที่หั่นไว้ แล้วผสมหนังเป็ดที่ทอดกรอบไว้ส่วนหนึ่งที่เหลือเก็บไว้โรยหน้า



ตักใส่จานเสริฟ โรยหน้าด้วยหนังเป็ดทอดกรอบ



กระดูกและส่วนต่าง ๆ ที่เหลือเอาไปทำต้มแซบโดยใ่ส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ปรุงรสด้วยเกลือ ต้มให้สุก



ก่อนเสริฟให้โขลกพริกสดใส่ถ้วยรอไว้ ตักต้มแซบลงถ้วย ปรุงรสด้วยมะนาวและน้ำปลาให้รสจัดตามใจคนกิน โรยหน้าด้วยผักชีฝรั่งหั่นฝอย หรือผักอื่น ๆ ตามชอบใจ



อาหารเย็นวันนั้นเอร็ดอร่อยมาก ๆ

Thursday, February 11, 2010

Hawaii – day 8 and day 9

สองวันสุดท้ายบนเกาะฮาวาย เราทำตัวสบาย ๆ เริ่มต้นด้วยการตื่นสาย ๆ แล้วไปดำน้ำตื้นดูปลาที่หาด Kahaluu Beach Park ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเลย ประมาณหนึ่งกิโลเมตรได้



หาดนี้หรือจะว่าไปทุกหาดรอบเกาะ มีคลื่นแรงมาก สมัย King Kamehameha ได้มีการสร้างกำแพงหินกั้นคลื่นบริเวณนี้ เพื่อจะได้ปลอดภัยในการว่ายน้ำแก่ครอบครัวของกษัตริย์เอง คงทำให้สัตว์น้ำทั้งหลายชอบด้วยมั้ง มาโชว์ตัวให้ชมกันทุกวันเลย



ที่นี่เราสามารถเช่าหน้ากากดำน้ำ และตีนกบได้ในราคาไม่แพง ถ้าว่ายน้ำไม่แข็งก็ควรเช่าเสื้อชูชีพด้วย เพราะถึงจะมีกำแพงหินกั้นบางส่วน บางวันคลื่นก็ยังแรงมาก น้ำลึกโดยเฉลี่ยประมาณสองเมตร วันนั้นบังเอิญน้ำเข้าหน้ากากเรา มีปัญหาในการปรับหน้ากากช่วงน้ำลึกเกินความสูงเราพอดี กำลังทุลักทุเล ติดขัดอยู่ สำลักน้ำไปหลายอึก บังเอิญมีหนุ่มฮาวายรูปหล่อที่ทำงานเป็นไลฟ์การ์ดที่หาดนั้น ขี่ม้าขาว เอ้ย พายกระดานโต้คลื่นมาช่วยชีวิต วาดฝัน จินตนาการดี ๆ เขียนเป็นนิยายรักโรแมนติกได้เรื่องหนึ่งเลยนะเนี่ย



เกือบทุกลูกบาศก์แมตรของน้ำที่หาดนี้มีปลา ปะการังและสัตว์น้ำอื่น ๆ ให้ชมมากมาย เราสังเกตว่าแค่เดินอยู่บนโขดหินใกล้น้ำทะเล ก็เห็นแล้ว จึงเป็นนิยมของทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว คนเต็มทุกวัน



ยกตัวอย่างเช่นหอยเม่นดินสอแดง (Red Pencil Sea Urchin)



Lagoon Triggerfish สีสวยตัวนี้ เป็นปลาที่หาดูได้ง่ายมากรอบเกาะ



หลังจากทานอาหารกลางวันง่าย ๆ เราก็ไปช้อปปิ้งของฝาก อย่าง ถั่วแม็กคาเดเมีย กาแฟโคน่า เป็นต้น จะได้แพ็กก่อนกลับบ้านพรุ่งนี้ หลังช้อปปิ้งยังพอมีเวลาเหลือ ถูกใจเราสิ จะได้ทำกิจกรรมอีกอย่างที่เราชอบ คือนั่งมองนักโต้คลื่น



ให้นึกภาพสาวสวย หน้าตาดี หุ่นเพอร์แฟ็ก สวมบิกินี่สีสด นั่งบนหาดทรายอยู่คนเดียว ถือกล้องถ่ายรูปคอยถ่ายนักโต้คลื่นตอนเขากำลังโฉบเฉี่ยวอยู่บนคลื่นยักษ์ นึกภาพออกมั้ย นั่นแหละเราเอง :)



เพราะคนที่นี่มีมนุษยสัมพันธ์ เป็นกันเอง ดีมาก บางทีก็ได้คุยกันกับนักโต้คลื่นบางคน ที่เขาเอาของกองไว้ใกล้ ๆ เราได้แต่คุย แต่ไม่กล้าเล่นถึงแม้บางหาดจะมีคนสอนโต้ เพราะกลัวตาย ฮา.. ขอนั่งดูหนุ่มหล่อ ๆ ก็พอใจแล้ว



นักโต้คลื่นที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น ถ้ามีเวลาว่างก็มาโต้ เคยคุยกับบางคน เขาย้ายมาจากนิวยอร์คมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่เพราะชอบโต้คลื่นเป็นชีวิตจิตใจ น่าอิจฉาเนอะ ไม่แน่วันหนึ่งชีวิตเราอาจเป็นแบบนั้นก็ได้ ใครจะไปรู้



การนั่งมองนักโต้คลื่น เป็นกิจกรรมสุดท้ายที่เราทำบนเกาะก่อนขึ้นเครื่องลาจากเกาะที่สงบและสวยงาม ขอบคุณสำหรับมิตรภาพและความสุขที่ได้รับ



คืนสุดท้ายบนเกาะ เราไปเที่ยวบาร์ท้องถิ่นในเมืองโคน่า บาร์นี้ไม่มีเหล้าหรือเบียร์ขาย เขาขายเครื่องดื่มที่ทำจากรากไม้เรียกคาว่า Kava Bar)ลูกค้าเป็นคนท้องถิ่นหมด มานั่งดื่มหลังเลิกงานก่อนกลับบ้าน สิ่งที่ประทับใจเราที่สุดคือความมีอัธยาศัยอันดีของชาวเกาะนี้ ทุกคนในบาร์ต่างพูดคุยกับเราราวกับรู้จักกันมานาน ทำให้รู้สึกเป็นกันเองมาก ๆ



อาหารวันนั้นก็ไม่พ้น โพกิ หมูอบ เพิ่มปลาหมึกยักษ์ใบบอนอีกหน่อย กินกับมันเทศสีม่วง ตามสไตล์ชาว จะว่าไปแล้วอาหารบนเกาะไม่ได้เลิศหรูอะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารพื้นเมือง หรือไม่ก็อาหารสไตล์อเมริกันทั่วไป จะมีร้านแบบสี่ดาวน้อยมาก และสนนราคาอาหารก็แพงกว่าปรกติ ถึงแม้เกาะฮาวายใหญ่จะส่งออกโคเนื้อในปริมาณมาก แต่เนื้อบนเกาะก็ราคาแพง เพราะ แทบจะไม่มีโรงฆ่าสัตว์เลย เรียกว่ามีเท่าไหร่ก็คงส่งออกเกือบทั้งหมด

จบแล้วสำหรับเวลาแห่งความสุขบนเกาะ เป็นเรื่องธรรมดาที่อะไรที่สวยงามประทับใจจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป

Wednesday, February 10, 2010

Hawaii – day 7

Volcano day

วันที่รอคอยมาถึงแล้ววันนี้เราไปเที่ยวชมภูเขาไฟ เริ่มตั้งแต่เวลาเจ็ดโมงเช้า จนถึงห้าทุ่มคืนนี้

เกาะฮาวายใหญ่ (Hawaii or the big island) เป็นเกาะที่เกิดจากหินลาวาพ่นมาจากภูเขาไฟ 5 ลูก คือ Kohala ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ตายแล้ว Mauna Kea เป็นภูเขาไฟที่กำลังหลับไม่แอ็กทีฟมาประมาณ 4,500 ปีแล้ว ส่วนอีกสามภูเขาไฟที่เหลือยังแอ็กทีพอยู่ คือ Hualalai, Mouna Loa และ Kilauea ที่เราจะไปดูวันนี้

เพราะหินลาวาที่ไหลมาจากภูเขาไฟทุกปี เกาะฮาวายใหญ่จึงมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกปี ว่ากันว่าพื้นที่งอกปีหนึ่งประมาณ 6 สนามฟุตบอลได้

เรามารอรถที่ร้านกาแฟกลางศูนย์การค้าแห่งหนึ่งตั้งแต่ก่อนตะวันขึ้น เห็นภูเขาไฟ Hualalai ชัดเจนกว่าตอนตะวันขึ้นแล้ว เพราะแสงอาทิตย์กระทบกับเขม่าภูเขาไฟ Kilauea ที่กำลังคุกรุ่นอยู่และปกคลุมทั่วเกาะ ทำให้ฟ้าไม่กระจ่างมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา



รถออกจากเมืองโคน่าซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะเจ็ดโมงเช้า ตัดผ่านเขตภูเขาไฟ Mouna Kea กลางเกาะเพื่อผ่านไปยังฝั่งตะวันออก ภูเขาไฟ Mouna Kea แปลว่าภูเขาสีขาว ที่เรียกอย่างนั้นเพราะยอดของมันมักจะปกคลุมด้วยหิมะ แต่ช่วงนี้ไม่มีหิมะเราจึงไม่เห็น

บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ฟาร์มแรกของเกาะชื่อ Parker ranch ซึ่งเลี้ยงวัวส่งออกเป็นสำคัญ



พอเข้าเขตเมือง Hilo เมืองใหญ่ของฝั่งตะวันออก เราแวะที่ถ้ำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุโมงค์ลาวาชื่อ Kaumana Cave Lava Tube เป็นอุโมงค์ลาวาจากภูเขาไฟ Mouna Loa เกิดในปี 1881 ซึ่งผนังอุโมงค์ด้านบนเปิดออก ทำให้สามารถเดินลงไปเดินดูภายในอุโมงค์ได้



จากนั้นเราก็ขับรถผ่านเมือง Hilo เพื่อไปยังอุทยานภูเขาไฟ ซึ่งอยู่ในเขตภูเขาไฟคิลาเวีย หรือ คิลาวียา (Kilauea) ซึ่งถือเป็นภูเขาไฟที่แอ็กทีฟมากที่สุดในโลก มันเริ่มพ่นลาวามาตั้งแต่ปี 1983 จนป่านนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สร้างที่ดินเพิ่มให้แก่เกาะมากมาย



เราเริ่มจากจุดชมวิวใกล้สำนักงานอุทยาน เห็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่มีควันสีขาวพุ่งขึ้นตลอดเวลา ภูเขาไฟอยู่ทางใต้ของเกาะ เมื่อควันนี้ลอยไปทางเหนือของเกาะ มันจึงทำให้เกาะขมุกขมัวมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เมื่อถ่ายรูปแล้วฟ้าจึงไม่ใสไง



จากนั้นเราก็แวะไปเดินเที่ยวอุโมงค์ลาวาเธอร์สตัน (Thurston Lava Tube) ซึ่งต้องเดินผ่านป่าเฟิร์นต้นยักษ์ เป็นป่าดิบชื้น



พอถึงอุโมงค์ ส่วนที่เดินได้เขาติดไฟไว้ภายในด้วย ทำให้เดินสะดวก น่าทึ่งมากเลย ไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งหินลาวาร้อน ๆ จะไหลผ่านอุโมงค์นี้



จบจากการเดินอุโมงค์ เราไปยังชายฝั่งตอนใต้ของเกาะ พื้นที่ใหม่ที่เกิดจากหินลาวาไหลมารวมกัน หินบางส่วนพังทะลายลงน้ำ เป็นหน้าผาชัน มีคลื่นขนาดใหญ่กระทบฝั่งดังคลืน ๆ



บางส่วนพังทะลายไปบ้าง แต่เหลือเป็นเสาหินที่ไม่รู้จะพังลงไปเมื่อไหร่ เขาเรียกจุดนี้ว่า Holei Sea Arch



สิ่งที่มหัศจรรย์แก่สายตาเราคือเรายืนอยู่บนทุ่งหินลาวาที่แข็งตัวแล้ว มองไปทางไหนก็เห็นแต่หินสีดำ มีพืชแซมขึ้นเป็นบางส่วน



ส่วนที่หินแตก เราสามารถเห็นชั้นต่าง ๆ ของหินลาวา ที่มีแร่เหล็กปนอยู่ก็จะออกสีแดง



บางส่วนเห็นเป็นคลื่นหิน ทำให้สามารถบอกได้ว่าทิศทางการไหลของมันไปทางไหน



เราว่าต้องไปเห็นเองพื้นที่หินสีดำตัดกับฟ้าสวย เคยเป็นหินเหลวร้อน ๆ ไหลมาจากใต้พิภพ และเราก็ได้ยืนอยู่ตรงนั้น เห็นมัน สัมผัสมัน ถ้าไม่หัศจรรย์ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว


หลังอาหารกลางวันที่นี่ เราออกเดินทางต่อไปเพื่อแวะชมไอน้ำ (Steam vents) ที่เกิดจากน้ำฝนไหลลงใต้ดินแต่โดนความร้อนของหินภูเขาไฟทำให้เกิดเป็นไอน้ำผุดมาจากพื้นดิน บริเวณนี้มีไอน้ำผุดอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะในป่า


หรือหุบเขาแบบนี้ เป็นทุ่งไอน้ำสวยงาม


บริเวณนี้ยังมีกล้วยไม้ป่าขนาดประมาณ 2-3 เซ็นติเมตร สีชมพูปนม่วงอยู่ทั่วไป



จริง ๆ แล้วทัวร์ภาคเช้าจะจบลงที่การไปเที่ยวน้ำตก แต่เพราะเราต้องไปรวมตัวกับทัวร์ภาคค่ำเราเลยไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตก ทัวร์พาเราไปจุดนัดพบ เป็นสวนญี่ปุ่นในตัวเมือง Hilo เกาะฮาวายมีอิทธิพลของญี่ปุ่นอยู่มาก



ทัวร์ภาคบ่ายวันนั้น เราได้แวะไร่ถั่วแมกคาเดเมีย เพื่อทานอาหารเย็น และชิมผลไม้จากในสวน รวมซื้อของฝากด้วย ที่ไร่มีภูมิประเทศที่น่าชมทีเดียว


ตกค่ำเราไปเดินชมหาดที่โดนหินลาวาไหลมาถมจนหาดหายไปหมด และเดินชมภูเขาไฟยามค่ำคืน ที่เห็นแสงเรื่อ ๆ จากลาวาร้อน ๆ น่าเสียดายที่มันมืด ถ่ายรูปไม่สวย ก็เลยไม่มีรูปมาให้ชม อันนี้ต้องไปดูเองจะรู้ว่ามันน่าตื่นตามาก

Monday, February 08, 2010

Hawaii – day 6

Golf day

วันนี้วางแผนไว้ว่าจะไปตีกอล์ฟ จองไว้เวลาสิบเอ็ดโมงเช้า ก็เลยได้เถลไถลเล่นอินเตอร์เน็ทอยู่ที่คอนโด กว่าจะออกไปก็เก้าโมงครึ่ง สนามกอล์ฟอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร่ แต่ต้องขับรถขึ้นเขา ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงได้

สนามกอล์ฟชื่อสนาม Makalei ตั้งอยู่บนไหล่ภูเขาไฟ Haulalai และอยู่เหนือระดับน้ำทะเลระหว่าง 1800 – 2850 ฟุต วันไหนฟ้าเปิดจะมองเห็นวิวทะเลหรือเกาะ Maui ที่อยู่ไม่ไกลออกไป สวยมาก แต่เพราะควันเขม่าจากภูเขาไฟ Kilauea ที่ครุกรุ่นมาตลอดสองเดือนแล้ว วันนี้วิสัยทัศน์จึงออกมัว ๆ



สนามนี้มีนกป่าอาศัยอยู่เยอะแยะ เท่าที่เห็นมีนกยูงเป็นร้อย ไปตีหลุมไหนก็เจอ มันไม่ค่อยกลัวคนด้วยสงสัยจะคุ้นกับนักกอล์ฟทั้งหลาย มากันได้ทุกวัน

นกยูงตัวผู้สีสวยกว่าตัวเมีย มีแพนหางสีสด



บางตัวรำแพนให้ดูด้วย หันหน้าให้ดูขนสีสวยสด



หันหลังให้ดูขนอ่อนสีน้ำตาลข้างใน เขาว่าถ้านกยูงรำแพนให้เห็นจะโชคดี สาธุ ขอให้จริงเถอะ



นกยูงตัวเมียสีออกน้ำตาล ไม่มีแพนหางอันยาว ถึงหัวจะออกสีเขียว ๆ แต่ก็ยังสวยไม่เท่าตัวผู้ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม



เที่ยง ๆ เริ่มหิวรถขายอาหารที่นี่มี Spam Musubi เป็นข้าวห่อสาหร่ายยัดไส้สแปม ซึ่งเป็นอาหารเช้าของคนบนเกาะ ก็เลยสอยมาลองกินดู อร่อยใช้ได้ เพราะสแปมรสออกเค็มกินแล้วเข้ากันกับข้าวญี่ปุ่น สนามกอล์ฟที่นี่ใจดีมีกาแฟให้ดื่มฟรีด้วย



บางหลุมเราจะเห็น Erckel’s Francolin ส่วนใหญ่จะเป็นตัวพ่อแม่กับลูกเล็ก อยู่กันเป็นครอบครัว



หลุมสิบสี่ เห็นฝูงไก่งวงป่า หลบอยู่ใต้ต้นไม้ มีประมาณหกตัวเห็นจะได้



ตีกอล์ฟเสร็จบ่ายสามโมง ยังพอมีเวลา เลยแวะไปนอนเล่นที่ Kau Beach อีกที เพราะไม่ไกลกันนัก ขับรถแค่ประมาณสิบห้านาทีได้ ปรกติก็เตรียมชุดว่ายน้ำและอุปกรณ์นั่งเล่นชายหาด เช่น เก้าอี้ผ้าใบ เสื่อ น้ำและของขบเคี้ยวไว้ท้ายรถอยู่แล้ว ก็สบายไป ไปไหน ไปกัน ไม่หวั่นเลย



ที่หาดยังคลื่นแรงเหมือนเดิม ตกเย็นคนเริ่มทะยอยกลับ เช่นเดียวกับฝูงนก Gray Francolin ที่เดินกลับรังผ่านหน้าเรา แต่มันเดินเร็วมาก ชักภาพแทบไม่ทันแน่ะ



อาหารเย็นวันนั้นเหรอ เราแวะที่ซุปเปอร์มาเก็ตแล้วหาซื้อ ยำปลาทูน่า (Tuna Poke) ยำปลาหมึกยักษ์ (Octopus Poke) และยำสาหร่าย เป็น Poke night เลยวันนั้น ต้องสารภาพว่ากินแกล้มกับแชมเปญอร่อยดีจัง