Monday, July 16, 2007

น้ำตกไนแอการ่า ตอนที่ 1 - Niagara Falls I

น้ำตกไนแอการ่าเป็นหนึ่งในสถานที่่ท่องเที่ยวที่สำคัญของแคนาดา น้ำตกไนแอการ่าเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำไนแอการ่าซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนประเทศแคนาดาต่อกับประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ห่างจากโตรอนโตประมาณ 70 กิโลเมตร หรือ 123 กิโลเมตร โดยทางรถยนต์



ระหว่างทางจากโตรอนโตไปน้ำตกสามารถแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น จอร์แดนวิลเลจ (Jordan Village)


เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางไร่องุ่นกว้างสุดลูกหูลูกตา

ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 มีพิพิธภัณฑสถานแสดงอุปกรณ์ และพาหนะสมัยโบราณ มีโบสถ์เก่าแก่



มีแกลอรี่ ร้านขายของที่ระลึก ทั้งไวน์และอาหารการกิน หรือถ้าต้องการค้างคืนก็มีโรงแรมเล็ก ๆ พร้อมสปาไว้บริการ



นอกจากนั้นยังมีทางเดินและลู่จักรยานท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามสำหรับนักธรรมชาตินิยมอีกด้วย


ถัดมาก็มีเมืองไนแอการ่าออนเดอะเลก เป็นเมืองเล็กร่มรื่น เงียบสงบ ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำำไนแอการ่าไหลลงสู่ทะเลสาบออนทาริโอ อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเป็นเมือง Youngstown รัฐ New York

ส่วนหนึ่งของผู้คนที่มาตั้งรกรากใหม่ ๆ เป็นพวกขุนนางที่หนีมาจากอเมริกาเมื่ออเมริกาตั้งตนเป็นประเทศอิสระไม่ขึ้นอยู่กับอังกฤษอีกต่อไป บ้านหลาย ๆ หลังจึงถูกสร้างอย่างสวยงาม

ในเมืองมีหอนาฬิกาขนาดใหญ่กลางเมือง


มีถนนสายหลักชื่อถนนควีนเป็นที่ตั้งของร้านรวงต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น เครื่องครัว สินค้าหัตถกรรมต่าง ๆ ร้านอาหาร ร้านทำขนมฟัดจ์ (fudge)
ร้านไอติม โรงแรม โรงละคร คู่แต่งงานหลายคู่เลือกเมืองนี้เป็นสถานที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ เพราะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์เมืองหนึ่งของแคนาดา

ที่ปากแม่น้ำฝั่งตรงข้ามเห็นป้อมของฝั่งอเมริกา ในทะเลสาบมีนักแล่นเรือมาโชว์ฝีมือหาความสนุกกันเป็นประจำ จึงมีเรือใบหลากสีให้ชมกันเยอะแยะ

ครั้งหลังสุดที่เราแวะไปสังเกตเห็นคอนโดนกเท่ ๆ ริมทะเลสาบ มีนกอาศัยอยู่หลายตัวน่ารักดี

Sunday, July 08, 2007

อาหารอิตาเลี่ยน

คนอิตาลีเขาจะปลูกผักผลไม้ไว้รอบ ๆ บ้าน ที่ขาดไม่ได้เลยคือมะเขือเทศทั้งลูกเล็ก ลูกใหญ่ ซูกินี่ โหระพาฝรั่ง เป็นต้น พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวมีมะเขือเทศเยอะ ๆ เขาก็จะำทำมะเขือเทศกระป๋องไว้กินตอนหน้าหนาวต่อไป


ตอนหน้าร้อนในโตรอนโตเราก็ทำผักสวนครัวแปลงเล็ก ๆ หลังบ้าน ก็ปลูกผักไว้หลายชนิดอยู่ ที่แน่ ๆ มีมะเขือเทศและโหระพาฝรั่งอยู่ด้วย เหมาะแก่การประกอบอาหารอิตาเลี่ยนเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนประกอบสำคัญของอาหารอิตาเลี่ยนคือน้ำมันมะกอกซึ่งก็หาซื้อได้ง่าย ๆ ในโตรอนโต ราคาก็มีตั้งแต่ 5-6 เหรียญจนถึงสิบกว่าเหรียญ อีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือน้ำส้มบัลซามิก ราคาขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการบ่ม ยิ่งบ่มนานยิ่งราคาสูงแต่รสชาติก็จะออกหวานมากขึ้น รวมทั้งหนืดกว่าด้วย





หลาย ๆ ปีผ่านมาเราได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารอิตาเลี่ยนอยู่บ้าง แต่ก็รู้แต่อาหารจานหลัก ๆ ที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ซึ่งก็ได้แก่

Beef Carpaccio – เนื้อคาร์ปากชิโอ เป็นเนื้อฝานบาง ๆ เวลาเสริฟเขาก็เอาวางไว้บนผักอะรุกุล่า (arugula) ที่ปรุงรสด้วยน้ำมันมะกอก น้ำมะนาว เกลือ พริกไทย มัสตาร์ด และ/หรือไข่แดงดิบ มีชีสพาร์มีชานฝานบาง ๆ อยู่ด้านบนสุด อันนี้ยังไม่เคยทำเอง เพราะไม่มีเครื่องไ้ม้เครื่องมือในการฝานเนื้อได้บางขนาดนั้น ก็อาศัยรับประทานตามร้านอาหารเอา



Bruschetta – บรูสเก็ตต้า เป็นขนมปังทาน้ำมันมะกอกปิ้ง ถูด้วยกลีบกระเทียม และส่วนใหญ่จะตามด้วยมะเขือเทศหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ หอมสับ ใบโหระพาฝรั่งหั่นฝอย ปรุงรสด้วยน้ำมันมะกอก เกลือ และพริกไทย หรือบางทีเติมชีสขูดฝอย เอาเข้าเตาอบพอชีสละลาย บางทีก็เอาขนมปังปิ้งทาน้ำมันมะกอก ถูกลีบกระเทียม แล้วโปะด้วยอิตาเลี่ยนแฺฮม (Prosciutto) ก็ถือเป็นบรูสเก็ตต้าเหมือนกัน ง่าย ๆ แบบนี้ทำกินที่บ้านได้สบาย ๆ



Antipasto – แอนตี้พาสโต หมายความว่าก่อนอาหาร “before the meal” (anti = before, pasto = meal). นั่นคืออาหารเรียกน้ำย่อยนั่นเอง จานนี้มักจะประกอบไปด้วย ชีส ผักสด หรือผักย่าง พวกเนื้อโคล์ดคัททั้งหลาย เช่น prosciutto และ ซาลามี่

ถ้าเราทำเองก็เอาซูกินี่ หอมใหญ่ และมะเขือม่วงอิตาลี่ มาหั่นเป็นแว่นเฉียง ๆ เอาพริกหยวกหลากสีมาแทงเป็นรู ๆ เพื่อไม่ให้มันแตกเวลาย่าง โรยเกลือ พริกไทย ทาน้ำมันมะกอกย่าง ลอกเปลือกพริกหยวกแล้วตัดเป็นชิ้นพอเหมาะ แล้วเหยาะน้ำส้มบัลซามิกบนผักย่างทั้งหลาย เิติมพวกโคล์ดคัทที่ซื้อมา และมะกอกดอง จัดเรียงกันสวยงามในจานแปลใบใหญ่ อันนี้ก็ทำง่ายสามารถทำเองที่บ้านได้บ่อย




พาสต้าหลากชนิดไม่ว่าจะเส้นยาว เส้นเส้น หรือเป็นรูปร่่างสวยงามต่าง ๆ พร้อมซอสหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นซ้อสมะเขือเทศ (ซ้อสมะเขือเทศนี้สามารถเิติมอาหารทะเลหั่นชิ้นเล็ก กลายเป็นซ้อสทะเล หรือเติมผักหั่นลูกเต๋าเช่น ซูกินี่ มะเขือม่วง กลายเป็นซ้อสผัก) ซ้อสครีม และเพสโซ ทำจากลูกสน ชีส และโหระพาฝรั่งบดกับน้ำมันมะกอก

ถ้าเป็นหน้าหนาวก็ทำลาซานย่า (Lasagna) เพราะมันให้พลังงานเยอะ แผ่นแ้ป้งสลับกับชีสและซ้อสอบแล้วหอมกรุ่นน่ากิน ระวังอ้วนเท่านั้นแหละนะ..


ถ้าเป็นหน้าร้อนที่เราชอบทำคือเิอาเบคอนอิตาเลี่ยน (Pancetta) มาหั่นเป็ิ้นชิ้นเล็ก ๆ เจียวในน้ำมันมะกอกพอกรอบ เจียวหอมแดงหั่นละเอียดพอสุกนิ่ม ผสมกับเส้นพาสต้าสดที่หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป หรือทำจากเส้นแห้งก็ได้ เติมน้ำมันมะกอก มะเขือเทศลูกเล็กหั่นขนาดพอดี ตามด้วยโหระพาฝรั่งฉีก และชีสบ็อคโคลินี่ (boccolini) ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย เวลาทานก็โรยชีทพาร์มีชานขูดฝอย อร่อยเหาะ


อีกอันที่ทำบ่อย ๆ คืออิตาเลี่ยนแฺฮม (Prosciutto) กินกับแตง อาจเป็นแคนตาลูปหรือฮันนี่ดิวก็ได้ หรือบางทีก็ทานกับลูกเดื่อ (fig) เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่ดีอีกอย่าง


พิซซ่า เดี๋ยวนี้หากินกันได้กลาดเกลื่อนหลายรูปหลายรสหลายขนาด หรือจะทำเองที่บ้านก็ได้ถ้าชอบทำ




Wednesday, July 04, 2007

อิตาลี 7 - Rome 2

เราตื่นตั้งแต่เช้าทานอาหารที่โรงแรมก่อนออกไปเที่ยววันนี้ โดยมีจุดหมายแรกที่โคลีเซียม (Colosseum หรือ Coliseum) สิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่ของโรมันโบราณ



สิ่งปลูกสร้างสูงตะหง่าน ประกอบไปด้วยปูนแตกและหินบิ่นแต่มันช่างดูขลังยิ่้งนัก แหล่งบันเทิงสมัยก่อนคริสตกาลที่สามารถจุคนได้ถึงห้าหมื่น ที่ยังคงกระพันมาถึงปัจจุบัน จะมีที่ใดในโลกบ้างที่เทียบได้


จากนั้นเราก็เดินต่อไปยังโรมันฟอรัม (Foro Romano หรือ Roman Forum) ซึ่งเป็นเหมือนศาลากลางของเมืองโรมันโบราณ ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพัง โรมันฟอรัมนี้ตั้งอยู่ระหว่างสถานที่สำคัญ 3 แห่ง ได้แก่โคลีเซี่ยม(Colosseum) เิินินปาลาืทีนี (Palatine) และ เซอร์คัส แมกซิมัส (Circus Maximus)

ใช้ัเวลานานพอสมควรกว่าจะเดินปีนป่ายบัันไดไปถึงด้านบนของเนินปาลาทีนีซึ่งนิยายปรัมปราเล่าว่าเป็นที่ที่ Romulus ผู้สร้างโรมเติบโตและอาศัยอยู่ ส่วนเซอร์คัส แมกซิมัสก็เป็นเสมือนทุ่งกว้างใช้สำหรับเล่นเกมส์และโชว์การแสดงของคนเมืองโรมสมัยก่อน เห็นมีที่นั่งเหมือนอัฒจรรย์หรือบันไดก็ไม่รู้เป็นหย่อม ๆ


จากนั้นเราก็เดินผ่านไปยังอนุสาวรีย์ Vittorio Emanuele ซึ่้งสร้างไว้เป็นที่ระลึกถึง Victor Emmanuel กษัตริย์คนแรกของอิตาลี (the first king of a unified Italy) เป็นหินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่


จากนั้นก็เดินต่อไปยังวิหาร Pantheon (หมายถึง "Temple of all the Gods") สร้างในสมัยโรมันโบราณแต่ถูกไฟไหม้ และถูกสร้างขึ้นใหม่ประมาณ 80 ปีก่อนคริสตกาล แพนธีออนนี้ถือเป็นสิ่งปลูกสร้า่งโบราณที่คงสภาพได้สมบูรณ์ที่สุดในโลกก็ว่าได้



ข้างในเป็นรูปโดมโค้ง ประดับด้วยภาพวาดอันสวยงามโดยจิตรกร Giovanni Paolo Pannini ในศตวรรษที่ 18

เดินจนเมื่อย เหนื่อย และหิว เลยต้องหาอาหารกินก่อน ได้ร้านอาหารหรูเงียบ ๆ ใกล้แพนธีออน อร่อยอีกแล้ว

เดินไปเรื่อย ๆ ก็ผ่าน Column of Marcus Aurelius ถูกสร้างบนเสามีลวดลายปูนปั้นนูนอันสวยงามเล่าเรื่องราวของ Marcus Aurelius’ Danubian หรือ Marcomannic wars

จากนั้นเราก็ตัดผ่าน Piazza del Popolo หรือ piazza of the people แต่เคยใช้เป็นสถานที่แขวนคอคนเพื่อทำโทษมาก่อน เป็นลานกว้างมีนั่งท่องเที่ยวพักนั่งอยู่ตามชายคาตึกรอบ ๆ แปลกตาดี

เราได้เที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ที่เราอยากชมจนทั่วแล้วมีเวลาเหลือจึงเดินไปที่ Villa Borghese เป็นสวนขนาดใหญ่ใจกลางเมืองโรมอยู่ไม่ไกลจาก Piazza del Popolo เท่าไหร่นัก เนื่องจากสวนมีขนาดใหญ่ข้างในจึงมีรถจักรยาน หรือสามล้อให้เช่า

ข้างในเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำเป็นแห่ง ๆ มีตึกสวยงาม รวมทั้งมีมิวเซียมและแกลลอรี่อีกด้วย เราเช่ารถสามล้อสำหรับนั่งสองคนปั่นไปทั่ว ใช้เวลาในสวนประมาณ 2 ชั่้วโมงได้ สนุกมาก

เมื่อมีเวลาเหลือเราได้ไปดู Bocca della Verita ซึ่งเป็นหน้ากากขนาดใหญ่ทำด้วยหินอ่อนเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Mouth of Truth ว่ากันว่าถ้าคุณเอามือสอดเข้าไปในปากหน้ากากนี้แล้วพูดโกหกจะเอามือออกมาไม่ได้ ดีนะที่ประตูปิดไปก่อนแล้ว เราจึงไม่ได้ลองไม่งั้นอาจติดแหงกอยู่ที่โรมโน่น อิ อิ ได้แต่ถ่ายรูปอยู่นอกรั้่วเป็นที่ระลึก