วันที่ 6 ถึงคราวต้องจาก Cape Breton เพื่อเดินทางกลับไปยังเมืองฮาลิแฟกซ์ ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่หรอกประมาณ 350 กิโลเมตรได้ แต่ใช้เวลานานมากเพราะถนนมันเล็ก ขับไวไม่ได้
ขับผ่านตัวเมืองไปก่อน เรายังไม่เช็คอินเข้าโรงแรมเพราะจะเลยไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงที่เรียกว่า Peggy's cove หรือแหลมเพ๊กกี้นั่นเอง
แหลมเพ๊กกี้อยู่เลยเมืองฮาลิแฟ๊กไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 43 กิโลเมตร ที่นี่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ บ้านเรือนส่วนใหญ่ก็เป็นหลังเล็ก ๆ ติดชายหาด ซึ่งเป็นโขดหิน แข็งแรง
อาชีพชาวบ้านแต่ก่อนคือชาวประมง แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวเยอะแยะ ก็มาขายของ ขายอาหารกันไปตามเรื่อง หารายได้จุนเจือครอบครัว
ปลายแหลมมีประภาคารสีขาวแดงรู้จักกันในนาม Peggys Point Lighthouse รูปร่างก็เหมือนประภาคารทั่วไป แต่เป็นจุดถ่ายรูปที่สำคัญอีกอันหนึ่ง
ปีหนึ่ง ๆ มีท่องเที่ยวมากมายมาเยี่ยมชมแหลมเพ๊กกี้ แต่สภาพบ้านเรือนยังคงความเป็นหมู่บ้านชาวประมงอยู่ อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างนิดหน่อยตามกาลเวลา เหมือนเราหยุดโลกให้หมุนไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
ใช้เวลาเดินรอบ ๆ แหลมอยู่พักหนึ่ง ถึงแม้ฟ้าจะครึ้ม แต่ก็พอถ่ายรูปสวย ๆ ได้สองสามรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกภายหน้า
กลับมาเช็กอินเข้าโรงแรม แล้วยังพอมีเวลา ก็เลยเดินไปยังป้อมฮาลิแฟ๊ก (Halifax Citadel) เป็นป้อมสมัยโบราณ ตั้งอยู่บนเนินสูง เมื่อข้าศึกรุกจะได้เห็นชัด
ที่นี่มีทหารรักษาการณ์อยู่ด้วย แต่งตัวด้วยเครื่องแบบสมัยโบราณสวยดี
ตกเย็นเราไปทานอาหารทะเลกัน กินล๊อบสเตอร์อร่อย ๆ แกล้มไวน์
วันรุ่งขึ้นเราไปเที่ยวไร่องุ่นของเพื่อน ขับรถไปตามถนนชนบทประเทศแคนาดาเนี่ยสวยได้ใจเลย แวะเที่ยวชายฝั่ง Bay of fundy ที่ความแตกต่างระหว่างระดับน้ำทะเลสูงสุดกับต่ำสุดห่างกันมากที่สุดในโลก ได้เก็บแบล็กแบรรี่ข้างทางกินด้วย อร่อย หวานดี
ถึงไร่องุ่นตอนบ่าย ๆ แวะชมไร่องุ่น ที่สวยเป็นแนวอยู่บนเนิน เห็นไร่ข้าวโพดอยู่ลิบ ๆ
นอกจากองุ่นแล้วยังปลูกบลูแบรรี่ลูกใหญ่ ๆ ไว้ขายและทำไวน์ผลไม้อีกด้วย
ทานอาหารกลางวันที่ไร่ อร่อยได้บรรยากาศ แกล้มวิวสวย ๆ จบทริบนี้แต่เพียงเท่านี้เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับบ้านแล้ว
กินไปเที่ยวไปกับไทยเกิร์ล
I had opportunities to visit some interesting places on earth. With the technology of digital cameras, I was able to capture some of those moments to share with you. Enjoy!
Wednesday, October 24, 2012
Monday, October 22, 2012
Nova Scotia - Day 3 - 5
วันที่สาม เราออกจากที่พักที่หมู่บ้านชาวประมงเชติแค้มป์ เพื่อขับรถตามเส้นทาง Cabot Trail ซึ่งเป็นถนนตัดผ่านตอนเหนือของเกาะเคปบริทัน ไปยังที่พักจุดหมายปลายทางของเราที่เมือง Baddeck ซึ่งตั้งอยู่ประมาณกลาง ๆ เกาะ
ถนนสาย Cabot Trail เลียบทั้งชายทะเล ผ่านท่าเรือ ตัดผ่านหุบเขา และผ่านอุทยานแห่งชาติไปด้วย เป็นเส้นทางที่สวยงามติดอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว แต่ฟ้าก็ไม่เป็นใจ ทั้งมืดทั้งมัว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอดวัน
เราแวะไปเดินป่าระหว่างทางด้วย เป็นทางเดินเลียบหน้าผาสูงสวยดี ใช้เวลาร่วม ๆ สองชั่วโมง ฝนตกมาห่าใหญ่ เปิยกปอนไปหมด
เราไปถึงที่พักของเราที่เมือง Baddeck ที่ตั้งอยู่ข้างทะเลสาบบราโด (Bras d'Or Lake) เป็นห้องแบบ Loft มีสองชั้น มีท่าน้ำอยู่ข้างหลัง วิวสวยมากมาย
มีเรือผ่านไปมาทั้งกลางวันและกลางคืน
อีกทั้งมีประภาคารตั้งตระหง่านได้บรรยากาศเมืองท่าสมัยก่อน
ที่พักมีครัวด้วย เราเลยทำอาหารกินเอง ซื้อหอยแมลงภู่มาอบไวน์ 10 ปอนด์ กินสองคนเกือบหมด มิน่าอ้วน
วันรุ่งขึ้นเราซื้อทัวร์ไปดูนก บนเกาะที่เขาเรียกว่าเกาะนก (bird islands) เป็นเกาะแฝดสองเกาะติดกัน มีนกอยู่มากมาย ถึงเรียกเกาะนกไงล่ะ
บนเกาะมีนก คอร์โมแรน (Cormorant) นกแกนเน็ท (Northern Gannet) นกพัฟฟิน (Puffin) ฯลฯ แต่ที่เราตื่นตามากที่สุดคือนกอินทรีย์หัวขาว (Bald Eagle) จับภาพมาได้ด้วย มีความสุขมาก
นกจากนั้นก็ยังมีแมวน้ำเยอะแยะไปหมด ทั้งว่ายน้ำไปมาและจับตัวอยู่ตามโขดหินรอบ ๆ เกาะ
ตกเย็นเราก็ดื่มเครื่องดื่มเย็น ที่ท่าน้ำหลังบ้าน ดูวิวไปด้วยสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
จวบจนเย็นย่ำค่ำคืน เรือลากเปิดไฟสวย ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง
วันรุ่งขึ้นก็ไปตีกอล์ฟซะรอบหนึ่ง โดยไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย ไปหาเช่าเอาที่สนามกอล์ฟ จบวันด้วยการย่างสเต็กกินกับเพื่อนที่มาสมทบ สังสรรค์กันจนดึก เหน็ดเหนื่อยไปตาม ๆ กันเลย
ถนนสาย Cabot Trail เลียบทั้งชายทะเล ผ่านท่าเรือ ตัดผ่านหุบเขา และผ่านอุทยานแห่งชาติไปด้วย เป็นเส้นทางที่สวยงามติดอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว แต่ฟ้าก็ไม่เป็นใจ ทั้งมืดทั้งมัว ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอดวัน
เราแวะไปเดินป่าระหว่างทางด้วย เป็นทางเดินเลียบหน้าผาสูงสวยดี ใช้เวลาร่วม ๆ สองชั่วโมง ฝนตกมาห่าใหญ่ เปิยกปอนไปหมด
เราไปถึงที่พักของเราที่เมือง Baddeck ที่ตั้งอยู่ข้างทะเลสาบบราโด (Bras d'Or Lake) เป็นห้องแบบ Loft มีสองชั้น มีท่าน้ำอยู่ข้างหลัง วิวสวยมากมาย
มีเรือผ่านไปมาทั้งกลางวันและกลางคืน
อีกทั้งมีประภาคารตั้งตระหง่านได้บรรยากาศเมืองท่าสมัยก่อน
ที่พักมีครัวด้วย เราเลยทำอาหารกินเอง ซื้อหอยแมลงภู่มาอบไวน์ 10 ปอนด์ กินสองคนเกือบหมด มิน่าอ้วน
วันรุ่งขึ้นเราซื้อทัวร์ไปดูนก บนเกาะที่เขาเรียกว่าเกาะนก (bird islands) เป็นเกาะแฝดสองเกาะติดกัน มีนกอยู่มากมาย ถึงเรียกเกาะนกไงล่ะ
บนเกาะมีนก คอร์โมแรน (Cormorant) นกแกนเน็ท (Northern Gannet) นกพัฟฟิน (Puffin) ฯลฯ แต่ที่เราตื่นตามากที่สุดคือนกอินทรีย์หัวขาว (Bald Eagle) จับภาพมาได้ด้วย มีความสุขมาก
นกจากนั้นก็ยังมีแมวน้ำเยอะแยะไปหมด ทั้งว่ายน้ำไปมาและจับตัวอยู่ตามโขดหินรอบ ๆ เกาะ
ตกเย็นเราก็ดื่มเครื่องดื่มเย็น ที่ท่าน้ำหลังบ้าน ดูวิวไปด้วยสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
จวบจนเย็นย่ำค่ำคืน เรือลากเปิดไฟสวย ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง
วันรุ่งขึ้นก็ไปตีกอล์ฟซะรอบหนึ่ง โดยไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย ไปหาเช่าเอาที่สนามกอล์ฟ จบวันด้วยการย่างสเต็กกินกับเพื่อนที่มาสมทบ สังสรรค์กันจนดึก เหน็ดเหนื่อยไปตาม ๆ กันเลย
Sunday, October 21, 2012
Nova Scotia - Day 1 and 2
Nova Scotia เป็นจังหวัดทางภาคตะวันออกของแคนาดา เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะสภาพเป็นเกือบเสมือนเกาะ อุณภูมิโดยเฉลี่ยดีกว่าจังหวัดอื่น ๆ ในแถบเดียวกัน คือหน้าหนาวไม่หนาวเกินไป หน้าร้อนไม่ร้อนเกินไป เมื่อเทียบกับจังหวัดแถบนั้น แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเราเท่าใดนักเพราะช่วงที่เราไปเที่ยวนั้นฝนตกเกือบทุกวัน ฟ้าไม่ค่อยกระจ่างเลย
เที่ยวบินจากโตรอนโตไปเมืองฮาลิแฟ็กซ์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดใช้เวลา 2 ชั่วโมง เราไปถึงฮาลิแฟ็กซ์สิบโมงกว่า ๆ รอสัมภาระและรถเช่า กว่าจะออกจากสนามบินก็เลยสิบเอ็ดโมงเช้าไปแล้ว
เราขับรถออกจากสนามบินมุ่งหน้าขึ้นเหนือ เพราะ 5 วันแรกของทริปนี้เราจะไปเที่ยวเกาะเคปบรีตัน (Cape Breton Island) แวะทานอาหารกลางวันระหว่างทาง และแวะถ่ายรูปที่ท่าเรือหมู่บ้านมาร์การี (Margaree Harbour) กว่าจะไปถึงที่พักที่หมู่บ้านชาวประมงเชติแค้มป์ (Cheticamp) ก็เกือบห้าโมงเย็น
วันแรกเลยไม่ทำอะไรมากพักผ่อนอยู่ที่ห้อง ซึ่งเป็นห้องที่เขาทำให้เช่าแบบเบดแอนด์เบรกฟาสต์ แต่เป็นห้องชุดหนึ่งห้องนอน มีครัว ห้องนั่งเล่น กว้างขวางสบาย แต่เราก็ไม่ได้ทำกับข้าวหรืออะไรเลย หากินภายในหมู่บ้านซึ่งมีร้านอาหารเยอะมาก
เชติแค้มป์เป็นหมู่บ้านชาวประมงและก็เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ เป็นปากทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะ ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง แต่หน้าร้อนก็ทำงานบริการนักท่องเที่ยวเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัวอีกทาง
บ้านเรือนทางฝั่งตะวันออกของแคนาดาด้านนอกเป็นแผ่นกระดานสังเคราะห์ มีสีสันสวยงาม ถ่ายรูปออกมาสวยงามถึงแม้ฟ้าไม่เป็นใจก็เถอะ
วันรุ่งขึ้นเราไปเดินป่ากันในวนอุทยาทแห่งชาติ เสียค่าเข้าอุทยานคนละเจ็ดเหรียญกว่า ๆ ใช้ได้ 36 ชั่วโมง ใช้เส้นทางชื่อ skyline trail ซึ่งสวยงามและเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว ระยะทางเป็นวงกลมวนกลับมาที่เริ่มต้นประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่งโมงครึ่ง
ทางเดินอันนี้ช่วงแรกเป็นที่ราบแต่ตรงกลางจะไปสุดภูเขาเป็นหน้าผาสูง เห็นทะเลและภูเขาไปพร้อม ๆ กัน ระหว่างทางเห็นราสป์แบรรี่ป่าขึ้นเต็ม เลยเก็บมากินไปตลอดทาง รสหวานมาก เสียแต่ว่าวันนี้ฟ้าครึ้มอีกแล้ว
ที่เราหวังจะเจออีกอย่างคือกวางมูส แล้วเราก็จะเจอมันเข้าจริง ๆ เกือบเดินวนกลับมาถึงจุดเริ่มต้นเลย นึกว่าโชคไม่ดีเสียแล้ว ดีใจมาก ๆ เป็นกวางมูสตัวผู้มีเขาสวยงาม
แล้วฝนก็ตกลงมาวิ่งกลับขึ้นรถแทบไม่ทัน และดูวิวระหว่างทางขับรถกลับที่พัก ได้รูปมาสองสามรูป
วันนี้เลยทำอะไรไม่ถนัด กลับไปหาอะไรกิน แล้วก็ดูกีฬาโอลิมปิกวันสุดท้ายอยู่ที่ ๆ พัก วันที่สองก็ผ่านไป
Saturday, October 20, 2012
Fall 2012
ไม่ได้เขียนอะไรมาตั้งนานแล้ว ไฟไม่ค่อยมี ฤดูนี้ที่นี่เป็นฤดูใบไม้ร่วง ปีนี้ใบไม้สวยงามน่าดูมาก วันก่อนไปตีกอล์ฟพกกล้องตัวเล็ก ๆ ไปด้วย เลยได้รูปสวย ๆ มาฝาก
ที่โตรอนโตมีต้นเมเปิ้ลเยอะมาก มีหลายพันธุ์ด้วย หน้าร้อนใบบางต้นใบเป็นสีเขียว บางต้นใบเป็นสีม่วงแก่ บางต้นก็มีใบเป็นสีเขียวลายขาว พอถึงฤดูใบไม้ร่วงสีสันก็ต่างกันไป บางต้นเป็นสีเหลือง บางต้นเป็นสีส้ม บางต้นเป็นสีแดง หรือบางทีก็ปน ๆ กันไป
นอกจากต้นเมเปิ้ลก็มีต้นเบริช์ (birch) ที่ใบจะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองทั้งต้น ตัดกับลำต้นสีขาวสวยดีแท้
สนามกอล์ฟสนามนี้มีหนองน้ำหลายหนองอยู่ ภาพเงาใบไม้หลากสีสะท้อนน้ำดูสวยงามไปอีกแบบ
ถ้าจะดูใบไม้เปลี่ยนสีสวย ๆ ในแคนาดาสามารถดูได้หลายจังหวัด ทั้งฝั่งตะวันออก เช่น นิวบรันสวิก โนวาสโกเทีย ปริ้นซ์เอ๊ดเวิร์ดไอแลนด์ ควิเบก และออนตาริโอ และฝั่งตะวันตก เช่น อัลเบอร์ตา และบริทิช โคลัมเบีย
ที่ออนตาริโอ ปรกติเราจะขับรถไปดูใบไม้ตามถนนสายต่าง ๆ ในช่วงสัปดาห์วันขอบคุณพระเจ้า แต่ปีนี้ใบไม้สวยคงทนมาก ดูได้นานหลายสัปดาห์เลย
สัปดาห์ที่แล้วขับรถไปสัมมนาที่ Blue mountain ใบไม้ยังคงค้างต้น ทำให้ดูสวยงามเต็มดอย
ไม่มีเวลาไปไหนไกลก็ไม่เป็นไร ทุกวันขับรถไปทำงานใช้เส้นทาง Don Valley Parkway ต้นไม้ลุ่มแม่น้ำดอนสองข้างทางก็สวยสุดใจ เพียงแต่หยุดถ่ายรูปไม่ได้เท่านั้นเอง
สามสัปดาห์ผ่านไปแล้ว มุมต่าง ๆ ของโตรอนโตก็ยังสวยงามอยู่ ใครอยากฝึกถ่ายรูปใบไม้สวย ๆ ก็รีบออกมานะ เดี๋ยวมันจะร่วงไปหมดแล้ว
Saturday, April 14, 2012
Rice Lake
ได้ยินกิตติศัพท์ไรซ์เลค หรือ ทะเลสาบข้าว (Rice Lake) มานานแล้ว อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโตรอนโต มันเป็นทะเลสาบตื้น ๆ กว้าง 5 กม. และยาว 32 กม. เป็นแหล่งทำกิจกรรมที่สำคัญ เช่น หน้าร้อนก็ตกปลา เล่นเรือ ส่วน หน้าหนาวน้ำมักจะเป็นน้ำแข็งเพราะมันตื้นไง ผู้คนก็มาเล่นสเก็ต ฮ้อกกี้ ตกปลาใต้น้ำแข็ง เดินหิมะ (Snowshoeing) เป็นต้น
เดินกุมภาพันธ์ปีนี้อากาศดี หน้าหนาวแต่ไม่มีหิมะ แดดจัด ก็เลยขับรถไปเที่ยวกันดีกว่า จองโต๊ะทานอาหาร Sunday Brunch ที่ร้านอาหารในรีสอร์ทข้างทะเลสาบไว้ ใช้เวลาเดินทางจากบ้านประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะก่อนถึงทะสาบถนนมีแค่ 2 เลน ขับรถได้ไม่เร็ว
ที่เขาเรียกว่าไรซ์เลค เพราะแต่ก่อนน้ำตื้นกว่านี้มีข้าวป่าขึ้นเต็มไปหมด ตอนหลังไม่มีแล้ว เพราะเขาสร้างถนน ถมสูง ทำให้น้ำขังมากขึ้น ท่วมข้าวตายหมด
วิวทะเลสาบราบเรียบ เพราะผิวหน้าน้ำเป็นน้ำแข็งหนาเป็นฟุต เดินเล่นได้สบาย ใครว่าเราเดินบนน้ำไม่ได้ ไปเดินมาแล้ว
มีคนมาเล่นสเก็ต กับ Cross-country ski ด้วย สนุกกันใหญ่
น้ำแข็งหนาขนาดที่ว่าเครื่องบินเล็กยังลงจอดได้ อันนี้เป็นเครื่องบินชมวิวที่รีสอร์ทมีไว้ให้บริการสำหรับแขกที่ต้องการชมวิวเหนือทะเลสาบ
รีสอร์ทนี้เป็นส่วนหนึ่งของฟาร์มปศุสัตว์ เขาเลี้ยงทั้งวัว (พันธุ์ Black Angus) และม้า เลยได้รูปสัตว์มาดูด้วย
เจ้าลูกวัวตัวนี้เพิ่งคลอด มีอายุแค่ 4 วัน
ครั้งนี้มาดูลาดเลาก่อน คราวหน้าถ้าว่างอาจจะมาพักที่รีสอร์ทแล้วเล่นสเก็ตหรือสโนว์ชูด้วย ท่าทางจะสนุก
Subscribe to:
Posts (Atom)